อินฟลูฯเขมรทำคอนเทนต์แรง เผาสินค้าไทย ยอดวิวทะลุ 4 แสน
อินฟลูเอนเซอร์กัมพูชาเผามาม่าคัพไทย สร้างกระแสไวรัล 4 แสนวิว ชี้กลยุทธ์การตลาด “แรงแต่ได้ผล”
วันที่ 18 สิงหาคม 2568 ได้เกิดกรณีที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางทั้งในกัมพูชาและประเทศไทย เมื่อเพจ Army Military Force ได้เผยแพร่คลิปของอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังชาวกัมพูชา ซึ่งลงทุนซื้อมาม่าคัพของไทยจำนวน 5 แพ็ก (ราคาประมาณ 400-500 บาท) เพื่อนำมาเผาทิ้งเป็นส่วนหนึ่งของคอนเทนต์ออนไลน์ โดยประกาศชัดว่าเป็นการ “แบนสินค้าไทย”
แม้จะเป็นเพียงการลงทุนเล็กน้อย แต่คลิปดังกล่าวกลับได้รับความสนใจมหาศาลจากสังคมออนไลน์ในกัมพูชา มียอดเข้าชมทะลุ กว่า 400,000 วิวภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง และยังมีแนวโน้มเพิ่มต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าทำรายได้จากโฆษณาในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียให้แก่อินฟลูเอนเซอร์เจ้าของคลิปได้จำนวนไม่น้อย
กระแสที่แตกต่าง: ชาวกัมพูชาชื่นชม vs. ชาวไทยตั้งคำถาม
ในขณะที่ผู้ชมชาวกัมพูชาจำนวนมากต่างแสดงความสนใจและชื่นชมการสร้างคอนเทนต์ที่กล้าแสดงออก แต่ในฝั่งชาวไทยกลับเกิดกระแส ถกเถียงและตั้งคำถามถึงความเหมาะสม ว่าเป็นการดูหมิ่นประเทศหรือสินค้าไทยหรือไม่
บางส่วนในโลกออนไลน์ไทยมองว่าเป็นการกระทำที่ รุนแรงและไม่สร้างสรรค์ เพราะเลือกใช้วิธีเผาสินค้าเพื่อสร้างภาพลักษณ์เชิงลบต่อประเทศไทย ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งกลับมองในมุมต่างออกไป โดยชี้ว่า หากมองผ่านแว่นตาของ การตลาดและการสร้างคอนเทนต์ อินฟลูเอนเซอร์รายนี้ถือว่ามี “ความคิดที่ฉลาด” เพราะสามารถสร้างคอนเทนต์ที่กระแทกใจผู้ชม ลงทุนน้อย แต่ผลลัพธ์คุ้มค่าอย่างมาก
การตลาดยุคใหม่: ลงทุนน้อย แต่สร้าง Impact สูง
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คลิปนี้ถูกพูดถึงมาก คือรูปแบบการตลาดที่เน้น Provocation Marketing หรือการสร้างกระแสด้วยการยั่วยุ (Provocative Content) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในประเทศที่การแข่งขันสูงและจำนวนอินฟลูเอนเซอร์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อินฟลูเอนเซอร์กัมพูชารายนี้ลงทุนเพียงไม่กี่ร้อยบาทในการซื้อสินค้ามาเผาทิ้ง แต่กลับแลกมากับ ยอดเข้าชมกว่า 4 แสนครั้ง ซึ่งหากเทียบกับคอนเทนต์ปกติที่ต้องลงทุนสูงกว่า เช่น การเดินทาง การจัดโปรดักชัน หรือการร่วมงานกับแบรนด์ใหญ่ ๆ จะเห็นได้ชัดว่าการลงทุนในลักษณะนี้ ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่ามาก
ทำไม “โจมตีไทย” ถึงกลายเป็นคอนเทนต์ที่นิยมในกัมพูชา?
มีการวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า กระแสการสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย โดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์หรือโจมตีสินค้าไทย เริ่มได้รับความนิยมในกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์กัมพูชา อย่างต่อเนื่อง
สาเหตุหลักมาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
1. ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม
ไทยและกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการค้า การพูดถึงประเทศไทยจึงสามารถสร้างกระแสในสังคมกัมพูชาได้ง่าย
2. กระแสชาตินิยมที่ถูกกระตุ้น
เนื้อหาที่เชื่อมโยงกับความภูมิใจในชาติหรือการเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน มักดึงดูดความสนใจได้ดี การแบนสินค้าไทยจึงถูกตีความว่าเป็นการ “ยืนหยัด” ในฝั่งของกัมพูชา
3. อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียล
แพลตฟอร์มเช่น Facebook, TikTok หรือ YouTube มักดันคอนเทนต์ที่มีความขัดแย้ง (Conflict Content) ไปสู่ผู้ชมวงกว้างอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นเนื้อหาที่กระตุ้นการกดไลก์ คอมเมนต์ และแชร์
อินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่ในกัมพูชา: โรงเรียนการตลาดออนไลน์ที่เติบโต
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ กัมพูชาเริ่มมี ระบบการฝึกอบรมและสร้างอินฟลูเอนเซอร์รุ่นใหม่ อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีทั้งคอร์สเรียนการผลิตคอนเทนต์เชิงข่าวสาร เทคนิคการตัดต่อ รวมถึงการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ผู้ชม
ทำให้เกิด อินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่จำนวนมาก ที่เลือกใช้ประเด็นประเทศไทยเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างชื่อเสียง เนื่องจากง่ายต่อการสร้าง Engagement และสามารถต่อยอดไปสู่การทำงานร่วมกับแบรนด์หรือสปอนเซอร์ภายในประเทศ
คนไทยกับปัญหาคอนเทนต์ “ด่ามากกว่าสร้าง”
ในอีกมุมหนึ่ง ผู้ใช้โซเชียลบางส่วนสะท้อนว่า ฝั่งคนไทยเองยัง ไม่รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเครื่องมือทางการตลาดของอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ เพราะแทนที่จะสร้างคอนเทนต์โต้กลับอย่างสร้างสรรค์ กลับเลือกใช้การ “ด่า” หรือ “วิจารณ์เชิงลบ” เป็นหลัก ซึ่งกลับยิ่งทำให้คลิปเหล่านี้ถูกดันขึ้นสู่สายตาผู้ชมมากขึ้นไปอีก
ยิ่งไปกว่านั้น การตอบโต้แบบใช้อารมณ์ยังสร้าง ภาพลบต่อคนไทยในสายตาชาวต่างชาติ เพราะสะท้อนว่าคนไทยไม่สามารถจัดการกับกระแสออนไลน์ได้อย่างมีเหตุผล
บทเรียนสำหรับแบรนด์และผู้บริโภคไทย
กรณีนี้ถือเป็น “Wake-Up Call” ที่สะท้อนให้เห็นว่า แบรนด์ไทยควรมีมาตรการและกลยุทธ์ในการจัดการ Crisis บนโลกออนไลน์ ให้มากกว่านี้ เพราะแม้จะเป็นคอนเทนต์ที่สร้างขึ้นจากอินฟลูเอนเซอร์ประเทศเพื่อนบ้าน แต่ผลกระทบต่อภาพลักษณ์สินค้าไทยก็เกิดขึ้นจริง
สำหรับผู้บริโภคไทยเอง ก็ควร บริโภคสื่ออย่างมีสติ แทนที่จะด่าหรือโจมตีโต้กลับโดยใช้อารมณ์ ควรนำประเด็นนี้มาเป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและสร้างสรรค์มากขึ้น
สรุป
กรณีอินฟลูเอนเซอร์กัมพูชาถ่ายคลิปเผามาม่าคัพไทยและประกาศแบนสินค้า ถือเป็น ปรากฏการณ์ที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงในโลกการตลาดออนไลน์ อย่างชัดเจน การลงทุนน้อยแต่สามารถสร้างกระแสได้มหาศาล ทำให้อินฟลูเอนเซอร์ได้รับทั้งยอดวิว ยอดติดตาม และรายได้จากโฆษณา
ขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า คอนเทนต์เชิงโจมตีไทยกำลังได้รับความนิยมในกัมพูชา และอาจเป็นเทรนด์ที่เติบโตต่อเนื่อง หากฝั่งไทยไม่เรียนรู้ที่จะสร้างคอนเทนต์เชิงบวกที่แข็งแรงเพื่อตอบโต้ กระแสเหล่านี้อาจยิ่งขยายตัวและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสินค้าไทยในอนาคต
อ้างอิงจาก: เพจ Army Military Force




















