ซื้อแล้วทุบ! คอนเทนต์คนเขมรเรียกเสียงฮา ไหนว่าจะแบนเบียร์ไทย
ไทย–กัมพูชาปะทะ ก่อนลงเอยหยุดยิง แต่ดราม่า “แบนสินค้าไทย” จุดกระแสในโซเชียล
บริบทของเหตุการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา
วันที่ 14 สิงหาคม 2568 สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา กลายเป็นประเด็นใหญ่ในสื่อและโซเชียลมีเดีย หลังเกิดเหตุปะทะกันอย่างต่อเนื่องระหว่างกำลังทหารของทั้งสองประเทศ แม้เหตุปะทะจะไม่ลุกลามเป็นสงครามเต็มรูปแบบ แต่ก็สร้างความตึงเครียดทั้งในพื้นที่และในโลกออนไลน์
รายงานระบุว่า หลังการปะทะหลายครั้ง ทั้งสองฝ่ายได้เข้าสู่กระบวนการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงหยุดยิง โดยตัวแทนรัฐบาลไทยและกัมพูชาเข้าร่วมประชุมร่วมกัน และในที่สุดก็สามารถบรรลุ ข้อตกลงหยุดยิง ได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศความรู้สึกของประชาชนทั้งสองประเทศไม่ได้สงบลงตามข้อตกลง เพราะทั้งฝั่งไทยและกัมพูชายังคงมีความไม่พอใจและอคติซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะฝั่งกัมพูชาที่มีการรณรงค์ “แบนสินค้าไทย” อย่างจริงจัง
ฝั่งกัมพูชาประกาศ “แบนสินค้าไทย”
หลังการหยุดยิง ฝั่งกัมพูชามีการเคลื่อนไหวบนโซเชียลมีเดียและในกลุ่มชุมชนออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการไม่ใช้สินค้าไทย มีการเผยแพร่ข้อความเชิญชวนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม หรือสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ
กระแสนี้ถูกจุดให้แรงขึ้นเมื่อเพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force” ของกัมพูชา ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอของชายชาวกัมพูชาคนหนึ่งที่แสดงการต่อต้านสินค้าไทยอย่างชัดเจน โดย ซื้อเบียร์ไทย 2 ขวดมาทุบทิ้ง พร้อมข้อความประกอบคลิปว่า “เขมรประกาศแบนสินค้าไทย”
คลิปไวรัล – ซื้อของไทยมาทุบทิ้ง
คลิปดังกล่าวถูกแชร์อย่างรวดเร็วทั้งในกัมพูชาและไทย ภาพในวิดีโอแสดงให้เห็นชายคนหนึ่งหยิบเบียร์ไทยขึ้นมาโชว์ต่อกล้อง ก่อนจะใช้มือและอุปกรณ์ทุบขวดให้แตก พร้อมกล่าวถ้อยคำที่สื่อถึงความไม่พอใจต่อประเทศไทย
ในมุมมองของผู้เผยแพร่ คลิปนี้ตั้งใจสื่อสารว่าประชาชนกัมพูชาพร้อมจะร่วมมือกันแบนสินค้าไทย แต่ในอีกมุมหนึ่งของคนไทย กลับมองว่านี่เป็นการกระทำที่ย้อนแย้งและน่าขัน เพราะถึงแม้จะทุบทำลาย แต่สินค้าดังกล่าวก็ถูกซื้อไปแล้ว เงินก็ยังคงเข้ากระเป๋าผู้ผลิตไทยอยู่ดี
เสียงสะท้อนจากชาวเน็ตไทย – จากตึงเครียดสู่ขำขัน
เมื่อคลิปนี้ถูกแชร์ข้ามประเทศมาถึงชาวเน็ตไทย กระแสการวิจารณ์ก็เกิดขึ้นทันที และส่วนใหญ่ไม่ใช่การโต้เถียงทางการเมือง แต่กลับเป็นการหยิบเหตุการณ์มาล้อเลียนอย่างขำขัน ตัวอย่างความคิดเห็นที่ถูกพูดถึงมาก ได้แก่
“คนฉลาดตายหมด เหลือแต่คนโง่ ๆ”
“มีปัญญาซื้อมาทุบได้แค่ 2 ขวดหรอ น่าเวทนา”
“ซื้อไปแล้วจ่ายเงินเรียบร้อย กินหรือไม่กินไทยก็ได้เงินมาแล้ว”
“เหมือนของแท้ จ่ายเงินซื้อแล้วเอามาทุบ… เจ็บจังเลยอะ”
“ซื้อมาทุบกันอีกนะ ผมยังไม่ทันเจ็บเลย 555”
ความเห็นเหล่านี้กลายเป็นไวรัลย่อย เพราะคนไทยจำนวนมากเห็นว่าการแบนในลักษณะนี้ไม่ส่งผลเสียจริงต่อผู้ผลิต แต่กลับเป็นการสร้างความขำขันเสียมากกว่า
ทำไมการ “ซื้อมาทุบ” จึงไม่ส่งผลเสียต่อผู้ผลิต
จากมุมมองเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน การแบนสินค้าที่ได้ผลคือการ “ไม่ซื้อ” หรือการตัดสินใจ “ลดการบริโภค” ลงอย่างจริงจัง เพราะหากไม่มีการซื้อขาย ผู้ผลิตก็จะสูญเสียรายได้และอาจต้องปรับลดการผลิต
แต่ในกรณีนี้ การซื้อสินค้ามาเพื่อทำลาย แม้จะไม่บริโภค แต่ก็ยังถือเป็นการซื้อที่ทำให้เงินไหลเข้าสู่ผู้ขายหรือผู้ผลิตอยู่ดี ดังนั้น ในเชิงผลกระทบทางเศรษฐกิจจึงไม่ต่างจากการซื้อไปบริโภคตามปกติ เพียงแต่ในเชิงภาพลักษณ์ อาจถูกใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อสื่อสารทางการเมืองหรืออุดมการณ์เท่านั้น
กระแสการแบนสินค้าในประวัติศาสตร์
หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์โลก การแบนสินค้าของอีกประเทศมักเกิดจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองหรือสงครามการค้า เช่น
กรณีแบนสินค้าญี่ปุ่น ในจีน หลังเหตุการณ์พิพาทหมู่เกาะเตียวหยู (เซ็นกากุ)
การแบนสินค้าฝรั่งเศส ในบางประเทศมุสลิม หลังเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับประเด็นศาสนา
การคว่ำบาตรสินค้าและบริการของรัสเซีย ในหลายประเทศ หลังการรุกรานยูเครน
แต่กรณี “ซื้อมาทุบ” ของชายชาวกัมพูชาในคลิปนี้ อาจถูกจัดอยู่ในหมวด “การแบนเชิงสัญลักษณ์” ที่เน้นการสร้างภาพเพื่อกระตุ้นอารมณ์ร่วม มากกว่าการสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจจริงจัง
มุมมองนักวิเคราะห์สื่อ
นักวิชาการด้านสื่อบางคนมองว่าคลิปนี้สะท้อนการใช้ โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือทางการเมือง เนื่องจากภาพและวิดีโอที่สื่ออารมณ์รุนแรงมักถูกแชร์ต่ออย่างรวดเร็ว และสามารถสร้างกระแสในชุมชนออนไลน์ได้ง่าย แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกตีความไปในทิศทางตรงข้ามกับที่ผู้ผลิตคอนเทนต์ต้องการ
ในกรณีนี้ แทนที่จะทำให้คนไทยรู้สึกหวาดกลัวหรือเสียหน้า กลับกลายเป็นการสร้างเสียงหัวเราะและถูกนำมาล้อเลียนในรูปแบบมีม (meme) อย่างแพร่หลาย
บทสรุป – จากความตึงเครียดสู่ความขำขัน
เหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า แม้สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาจะเริ่มคลี่คลายด้วยการหยุดยิง แต่ความรู้สึกของผู้คนทั้งสองประเทศยังคงตึงเครียด อย่างไรก็ตาม โลกโซเชียลได้เปลี่ยนบรรยากาศจากความขัดแย้งให้กลายเป็นความขำขัน ผ่านการวิจารณ์และการล้อเลียนคลิป “ซื้อมาทุบ”
ในมิติทางเศรษฐกิจ การซื้อสินค้ามาทำลายไม่ได้สร้างผลกระทบต่อผู้ผลิตโดยตรง แต่ในเชิงการสื่อสาร คลิปดังกล่าวก็ยังคงทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกเชิงการเมือง ซึ่งอาจมีคุณค่าทางจิตวิทยามากกว่าทางเศรษฐกิจ
---
อ้างอิงจาก: เพจเฟซบุ๊ก 'Army Military Force






