ดร.ตฤณห์ ชี้ ลุงพล ออกสื่อถี่ ตอบจนชิน เหมือนนักการเมืองเจนสนาม
คดี “ลุงพล” พลิกคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษจำคุกเป็น 26 ปี พร้อมย้อนฟังนักอาชญาวิทยาวิเคราะห์พฤติกรรมและจิตวิทยา
คดีสะเทือนสังคม “น้องชมพู่” และบทสรุปล่าสุดจากศาลอุทธรณ์
หนึ่งในคดีอาญาที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในรอบหลายปี คงหนีไม่พ้นกรณีการเสียชีวิตปริศนาของ น้องชมพู่ เด็กหญิงวัยเพียง 3 ขวบ จากหมู่บ้านกกกอก ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจให้กับคนทั้งประเทศ และกลายเป็นคดีที่สื่อมวลชนติดตามรายงานอย่างต่อเนื่อง
หลังการสืบสวนที่ยาวนานและเต็มไปด้วยความซับซ้อน ศาลชั้นต้นจังหวัดมุกดาหาร ได้มีคำพิพากษาเมื่อปีที่ผ่านมาให้ลงโทษจำคุก นายไชย์พล วิภา หรือที่ประชาชนรู้จักกันในชื่อ “ลุงพล” ในข้อหา
- กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
- พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยไม่มีเหตุอันสมควร
โดยกำหนดโทษจำคุกรวม 20 ปี พร้อมทั้งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ส่วน “ป้าแต๋น” หรือ นางสมพร หลาบโพธิ์ ภรรยาของลุงพล ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องเนื่องจากไม่มีหลักฐานเพียงพอ
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แก้โทษ – จาก 20 ปี เป็น 26 ปี
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ศาลอุทธรณ์ ภาค 4 ได้มีการพิจารณาคดีนี้อีกครั้งและมีคำพิพากษาแก้โทษ โดยเห็นว่าการกระทำของจำเลยมีเจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล ไม่ใช่เพียงประมาท จึงปรับโทษเป็น
จำคุก 26 ปี
ฐานความผิดเจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล
พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยไม่มีเหตุอันสมควร
อำพรางศพ
คำตัดสินครั้งนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญของคดี และทำให้เกิดการถกเถียงอีกครั้งในโลกออนไลน์
โลกโซเชียลรื้อฟื้นคลิปนักอาชญาวิทยาวิเคราะห์ “ลุงพล”
หลังจากศาลมีคำพิพากษาแก้โทษ ชาวเน็ตได้ขุดคลิปเก่าเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 จากรายการ “ลุยชนข่าว” ซึ่งมีการสัมภาษณ์ คร.ตกุณฑ์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยาเชิงจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมอาชญากร โดยเขาได้วิเคราะห์กรณีของ “ลุงพล” ในมุมจิตวิทยา
คร.ตกุณฑ์ ระบุว่า การร้องไห้ของบุคคลในสถานการณ์วิกฤตไม่สามารถสรุปได้เพียงจากภาพหรือคลิปสั้น ๆ เพราะน้ำตาของคนเราอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความตกใจ ความโล่งใจ ความรู้สึกผิด หรือความเสียใจจริง ๆ ดังนั้นการจะวิเคราะห์ว่าลุงพลร้องไห้เพราะสาเหตุใด ต้องสอบถามข้อมูลจากคนใกล้ชิดที่รู้จักพฤติกรรมเดิมของเขา
ผลของการถูกสื่อซักถามซ้ำต่อเครื่องจับเท็จ
หนึ่งในประเด็นที่คร.ตกุณฑ์ชี้ให้เห็นคือ “การถูกสื่อถามซ้ำ” เขากล่าวว่าหากบุคคลถูกถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน โดยเฉพาะก่อนเข้าสู่กระบวนการตรวจด้วยเครื่องจับเท็จ อาจทำให้บุคคลนั้นตอบคำถามได้อย่างราบรื่นโดยไม่เกิดอาการตื่นเต้นผิดปกติ ซึ่งส่งผลต่อค่าการวัดของเครื่องจับเท็จ เนื่องจากเครื่องจับเท็จจะตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เช่น
อัตราการเต้นของหัวใจ
ปริมาณเหงื่อ
ความดันโลหิต
เมื่อผู้ถูกสอบเคยตอบคำถามเหล่านั้นซ้ำ ๆ จนชิน ปฏิกิริยาทางร่างกายก็อาจไม่เปลี่ยนแปลงมาก ทำให้ผลการตรวจอาจไม่สะท้อนความจริงทั้งหมด
พฤติกรรมในวันแถลงข่าว – สัญญาณความเครียด
นักอาชญาวิทยายังได้ย้อนถึงบรรยากาศในวันแถลงข่าวที่ลุงพลปรากฏตัวต่อสื่อมวลชน โดยสังเกตว่าเขามีความเครียดอย่างเห็นได้ชัด ผ่านท่าทางและแววตา ซึ่งปกติแล้วลุงพลจะมีการสบตาผู้สนทนาบ้าง แต่ในวันนั้นกลับหลีกเลี่ยงการสบตาและพูดน้อยกว่าปกติ เขาเลือกให้ทนายความเป็นผู้ชี้แจงแทน ซึ่งอาจสะท้อนถึงความระมัดระวังในคำพูดเพื่อป้องกันผลเสียทางคดี
ผลกระทบต่อสังคมและข้อถกเถียง
คดีนี้ไม่เพียงแต่สร้างแรงสั่นสะเทือนในสังคมไทย แต่ยังกลายเป็นตัวอย่างของการทำงานของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องใช้เวลาสืบสวนและพิจารณาคดีนานหลายปี การแก้โทษในชั้นศาลอุทธรณ์จาก 20 ปี เป็น 26 ปี ยังทำให้เกิดคำถามว่า หลักฐานและพยานเพิ่มเติมที่ถูกนำมาพิจารณาใหม่นั้นส่งผลอย่างไรต่อข้อสรุปของศาล
นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงบทบาทของสื่อมวลชนที่เกาะติดคดีตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งบางครั้งอาจก่อให้เกิดการกดดันต่อผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงสร้างภาพจำให้กับสาธารณชนที่อาจส่งผลต่อความเชื่อเกี่ยวกับตัวบุคคล
บทเรียนจากคดี “ลุงพล”
1. การไม่ด่วนสรุปจากหลักฐานไม่ครบถ้วน – ความจริงในคดีความมักซับซ้อนกว่าที่เห็น
2. บทบาทของสื่อ – การรายงานต้องรอบคอบเพื่อไม่ให้กระทบต่อกระบวนการยุติธรรม
3. ความรู้ด้านจิตวิทยาอาชญากร – ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมผู้ต้องสงสัยได้ลึกขึ้น แต่ไม่ควรใช้เป็นข้อสรุปเด็ดขาด
4. ความอดทนต่อกระบวนการกฎหมาย – คดีใหญ่บางคดีต้องใช้เวลาหลายปีจึงจะได้ข้อยุติ
















