จ้างแรงทะลุเพดาน! สวนลำไยจันทบุรีเปิดรับ 3 หมื่นคนแทนแรงงานเขมร
จันทบุรีเปิดรับแรงงานไทย 30,000 อัตรา ช่วยเก็บลำไยแทนแรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศ หลังสถานการณ์ชายแดนตึงเครียด
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2568 นางสาวญาณธิชา บัวเผื่อน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 3 จังหวัดจันทบุรี พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เชิญชวนแรงงานไทยทั่วประเทศมาร่วมเก็บเกี่ยวผลผลิตลำไยในหลายพื้นที่ของจังหวัดจันทบุรี อาทิ อำเภอสอยดาว อำเภอโป่งน้ำร้อน อำเภอมะขาม และอำเภอขลุง หลังเกิดสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ส่งผลให้แรงงานกัมพูชาที่ปกติทำงานในสวนลำไยของจังหวัดเกือบทั้งหมด เดินทางกลับประเทศพร้อมกัน ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานรุนแรงกว่า 30,000 คน
สถานการณ์ตึงเครียดชายแดน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคเกษตร
จันทบุรีเป็นหนึ่งในจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจการเกษตรของไทย โดยเฉพาะด้านการผลิตลำไยซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ ในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตที่มักอยู่ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเมษายนของปีถัดไป เกษตรกรจะต้องอาศัยแรงงานจำนวนมาก เนื่องจากการเก็บลำไยเป็นงานที่ต้องใช้แรงและความชำนาญ โดยปกติสวนลำไยในจันทบุรีใช้แรงงานกัมพูชามากถึง 100% เพราะมีค่าแรงที่เหมาะสมและทำงานต่อเนื่องยาวนานหลายเดือน
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา ทำให้แรงงานกัมพูชาจำนวนมากตัดสินใจเดินทางกลับประเทศเพื่อความปลอดภัยและกลับไปอยู่กับครอบครัว ส่งผลให้สวนลำไยในหลายอำเภอขาดแรงงานทันที ผลผลิตจำนวนมหาศาลที่กำลังสุกพร้อมเก็บเกี่ยวมีความเสี่ยงที่จะเสียหายหากไม่เร่งแก้ปัญหาอย่างทันท่วงที
เปิดรับแรงงานไทยทดแทน กว่า 30,000 อัตรา
นางสาวญาณธิชา เปิดเผยว่า ขณะนี้ถือเป็นโอกาสทองสำหรับแรงงานไทยที่ต้องการสร้างรายได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ในการเก็บลำไย เนื่องจากจะมีทีมงานในพื้นที่คอยสอนงานให้ทุกขั้นตอน คุณสมบัติที่ต้องมีเพียงแค่ความขยัน อดทน และพร้อมเรียนรู้ ไม่จำกัดเพศและวุฒิการศึกษา
สิ่งที่แรงงานจะได้รับ ได้แก่
รายได้เฉลี่ยวันละ 700 – 1,300 บาท (ขึ้นอยู่กับความขยันและทักษะ)
มีที่พักให้ฟรี
ทำงานในบรรยากาศที่เป็นกันเอง มีเพื่อนร่วมงานคอยช่วยเหลือ
โดยระยะเวลาการจ้างงานครอบคลุมตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 จนถึงเมษายน 2569 รวมเป็นเวลา 9 เดือนเต็ม ซึ่งเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวลำไยและผลไม้ชนิดอื่นที่ปลูกควบคู่กันในบางพื้นที่
ปัญหาขาดแรงงานกระทบเศรษฐกิจจังหวัด
หากไม่สามารถจัดหาแรงงานมาทดแทนได้ทันเวลา ผลกระทบจะเกิดขึ้นเป็นวงกว้างต่อทั้งเกษตรกรและเศรษฐกิจในจังหวัด เนื่องจากลำไยที่สุกคาต้นและไม่ได้เก็บทันจะเสียหาย ไม่สามารถส่งออกหรือนำไปจำหน่ายในตลาดได้ ส่งผลให้เกษตรกรสูญเสียรายได้โดยตรง และยังกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมผลไม้ เช่น โรงคัดบรรจุ โรงอบแห้ง และผู้ส่งออก
จันทบุรีถือเป็นจังหวัดที่มีมูลค่าการส่งออกผลไม้สูงติดอันดับต้น ๆ ของประเทศ การขาดแรงงานในช่วงวิกฤตนี้จึงไม่ใช่เพียงปัญหาของเกษตรกรรายย่อย แต่ยังเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจระดับจังหวัดและระดับประเทศด้วย
แรงงานไทยกับความท้าทายใหม่
ข้อมูลเพิ่มเติมระบุว่า แรงงานไทยที่เข้ามาทำงานเก็บลำไยอาจมีรายได้เฉลี่ยวันละ 500–700 บาท ซึ่งต่ำกว่าแรงงานกัมพูชาที่บางครั้งสามารถทำได้มากกว่า เนื่องจากแรงงานกัมพูชามักมีความชำนาญและทำงานได้รวดเร็วกว่า เนื่องจากทำงานในสวนลำไยมาหลายฤดูกาลติดต่อกัน
อย่างไรก็ตาม การเปิดโอกาสให้แรงงานไทยเข้ามาทำงานในภาคเกษตรช่วงนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญในการฝึกทักษะและเรียนรู้กระบวนการผลิตผลไม้คุณภาพเพื่อป้อนตลาดส่งออก ซึ่งหากแรงงานไทยสามารถปรับตัวและพัฒนาทักษะได้ อาจช่วยลดการพึ่งพาแรงงานต่างชาติในอนาคต
เสียงตอบรับล้นหลาม
หลังจากโพสต์ประกาศดังกล่าวเพียงไม่กี่ชั่วโมง นางสาวญาณธิชาได้อัปเดตเพิ่มเติมในเวลา 16.20 น. ว่า มีผู้สนใจจำนวนมากโทรศัพท์มาติดต่อสมัครงาน จนทำให้ไม่สามารถรับสายได้ทันและไม่สามารถทำงานอื่นได้ พร้อมขอให้ผู้สนใจค่อย ๆ โทรเข้ามา และกำลังประสานงานกับสำนักงานจัดหางานจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดระบบการรับสมัครและการคัดเลือกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
มองไปข้างหน้า: บทเรียนจากวิกฤตแรงงาน
เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของภาคเกษตรไทยที่ต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติเป็นหลัก การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ความขัดแย้งชายแดน สามารถสร้างผลกระทบต่อระบบการผลิตได้อย่างฉับพลัน จึงเป็นเรื่องที่ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันวางแผนระยะยาว เพื่อสร้างแรงงานไทยที่มีทักษะและพร้อมทำงานในภาคเกษตรมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังอาจต้องพิจารณานำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดการใช้แรงงาน เช่น เครื่องจักรเก็บเกี่ยวหรือระบบจัดการสวนแบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากปัญหาขาดแรงงานในอนาคต





















