ตื่นเช้าใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะข้อเสียของการตื่นเช้าเกินไป ก็มีเหมือนกัน
ตื่นเช้าใช่เรื่องดี เพราะข้อเสียของการตื่นเช้าเร็วเกินไป ก็มีเหมือนกัน
แม้ภาพลักษณ์ของการตื่นเช้า จะถูกสังคมยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของคนขยัน มีระเบียบวินัย และ กำลังเดินบนเส้นทางสู่ความสำเร็จ แต่ความจริงที่มักถูกมองข้ามก็คือ การตื่นเช้าเกินไปโดยที่ร่างกายยังไม่ได้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ อาจเป็นการบ่อนทำลายสุขภาพทั้งกายและใจอย่างเงียบๆ ซึ่งคล้ายๆกับการกัดกร่อนที่ค่อยๆ สะสมทีละน้อยจนเราไม่ทันรู้ตัว ร่างกายของมนุษย์ถูกควบคุมด้วยระบบนาฬิกาชีวภาพที่ซับซ้อน มันกำหนดว่าช่วงเวลาไหนควรตื่นและช่วงเวลาไหนควรพักผ่อน หากเราฝืนตื่นเร็วกว่าที่ระบบนี้ตั้งไว้เป็นประจำ กลไกการซ่อมแซมร่างกายที่เกิดขึ้น ระหว่างการนอนหลับลึกก็จะไม่สมบูรณ์ ซึ่งส่งผลทำให้เราตื่นขึ้นมาพร้อมความอ่อนเพลีย และ หัวสมองที่ยังไม่พร้อมทำงานอย่างเต็มที่ ความง่วงที่ตามมาทั้งวันอาจทำให้สมาธิแย่ลง ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ลดลง และ ความจำระยะสั้นเริ่มถดถอย บางครั้งเราอาจหงุดหงิดง่ายขึ้นโดยไม่รู้ตัว แค่เสียงดังเพียงเล็กน้อยหรือปัญหาจิ๊บจ๊อย ก็อาจจุดประกายให้เกิดความเครียด
นอกจากผลกระทบด้านสมองแล้ว การนอนหลับไม่เพียงพอยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ร่างกายจึงต้านทานโรคได้ยากขึ้น คุณอาจพบว่าตัวเองป่วยเป็นหวัดบ่อยกว่าปกติ หรืออาการภูมิแพ้กำเริบง่ายขึ้น ขณะเดียวกันความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ก็เป็นอีกปัญหาที่น่ากังวล "ฮอร์โมนคอร์ติซอล" ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด อาจถูกหลั่งมากเกินไป ทำให้รู้สึกกังวล กระสับกระส่าย หรือแม้แต่เข้าสู่ภาวะซึมเศร้าโดยไม่ทันรู้ตัว อีกทั้งการนอนน้อยยังรบกวนการทำงานของฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหาร เช่น เลปตินและเกรลิน ทำให้คุณรู้สึกหิวบ่อยและโหยหาของหวาน หรือ อาหารไขมันสูงอยู่ตลอดเวลา พฤติกรรมนี้เมื่อเกิดซ้ำๆ ก็อาจนำไปสู่การสะสมของน้ำหนักส่วนเกิน และ ในระยะยาวก็เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคหัวใจ
ด้านสังคมและจิตใจ การตื่นเช้าเกินไปจนต้องนอนหลับแต่หัวค่ำ อาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการใช้เวลากับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง เพราะในขณะที่คนรอบตัวกำลังผ่อนคลาย หรือ ทำกิจกรรมยามค่ำ คุณอาจต้องเตรียมตัวเข้านอน สิ่งนี้อาจค่อยๆสร้างกำแพงบางๆ ระหว่างคุณกับสังคมรอบข้าง จนเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว ขาดความผ่อนคลายและความสุข จากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และ เมื่อขาดการเติมเต็มทางอารมณ์ ความเครียดก็จะสะสมยิ่งขึ้น บางคนอาจพบว่าตัวเองหมดไฟอย่างไม่รู้สาเหตุ ราวกับชีวิตเต็มไปด้วยหน้าที่แต่ขาดแรงบันดาลใจ
ที่น่ากลัวคือผลเสียเหล่านี้ มักไม่แสดงออกในทันที แต่จะค่อยๆก่อตัวอย่างเงียบๆ เปรียบเสมือนหยดน้ำที่ค่อยกัดเซาะหินแข็งให้กร่อนลงทีละน้อย จนวันหนึ่งเราอาจตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกว่า แม้จะพยายามทำทุกอย่างถูกต้อง ตามค่านิยมของสังคม แต่สุขภาพกายและใจกลับพังทลายโดยไม่รู้ตัว เพราะแท้จริงแล้วการตื่นเช้า ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดคุณค่าของชีวิต หากแต่เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการจัดตารางเวลาเท่านั้น ร่างกายและจิตใจของแต่ละคน มีความต้องการพักผ่อนที่แตกต่างกัน บางคนอาจเหมาะกับการตื่นเช้า แต่บางคนอาจทำงานได้ดีที่สุด เมื่อได้ตื่นสายกว่าเล็กน้อย การฝืนทำสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับนาฬิกาชีวภาพของตัวเอง จึงไม่ต่างอะไรกับการบังคับต้นไม้ให้เติบโต ในสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม ผลลัพธ์ย่อมไม่งดงามและยั่งยืน
ดังนั้น ก่อนจะปรับชีวิตให้ตื่นเช้าจนเกินไป ควรถามตัวเองก่อนว่าร่างกายต้องการอะไร และเรากำลังทำเพื่อตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง หรือ เพียงเพื่อวิ่งตามมาตรฐานที่สังคมสร้างขึ้น เพราะสุดท้ายแล้ว สุขภาพที่ดีไม่ได้เกิดจากการตื่นให้เช้าที่สุด แต่เกิดจากการนอนหลับอย่างเพียงพอ คุณภาพชีวิตที่สมดุล และการฟังเสียงของร่างกายและหัวใจตัวเองต่างหากที่เป็นคำตอบ
รูป: google






















