ปั๊มพังยับ! เจ้าของบ้านผือร้องรัฐเยียวยา เสียหายกว่า 20 ล้าน
วิกฤตกลางลานน้ำมัน: เสียงจาก "ปั๊ม ปตท. บ้านผือ" เมื่อความเสียหายพุ่ง 20 ล้าน – รอรัฐช่วยเหลือกลางความเงียบ
“พวกเราต้องเดินหน้า พนักงานต้องกินต้องใช้”
– กมลรัตน์ พลเศรษฐเลิศ, เจ้าของปั๊มน้ำมัน ปตท.บ้านผือ จังหวัดศรีสะเกษ
เมื่อคำว่า “โครงสร้างต้องรื้อใหม่ทั้งหมด” ถูกเอ่ยขึ้นกลางการประเมินความเสียหาย นั่นไม่ใช่เพียงการพูดถึงงบประมาณ หรือวัสดุการก่อสร้าง หากแต่หมายถึงการล่มสลายชั่วคราวของธุรกิจระดับชุมชน ซึ่งเปรียบเสมือนฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจท้องถิ่น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ปั๊มน้ำมัน ปตท.บ้านผือ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ความสูญเสียที่เกินคาด และการเรียกร้องอย่างเงียบงันจากผู้ประกอบการท้องถิ่นที่กำลังรอการเยียวยา
บทความนี้จะพาคุณผู้อ่านไปสำรวจมุมมองของเจ้าของกิจการ ที่ต้องหยุดชะงักกลางวิกฤต พนักงานต้องว่างงานกว่า 3 เดือน และการเรียกร้องต่อรัฐบาลที่ยังไม่มีเสียงตอบกลับ
ประเมินความเสียหาย: จาก 14 ล้านสู่ 20 ล้าน และยังไม่นิ่ง
นางกมลรัตน์ พลเศรษฐเลิศ เจ้าของปั๊มน้ำมัน ปตท.บ้านผือ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ว่า เดิมทีการประเมินความเสียหายเบื้องต้นภายหลังเหตุการณ์ไม่สงบ ได้คำนวณไว้ที่ประมาณ 14 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งตัวอาคารโครงสร้างของสถานีบริการน้ำมัน, ร้านสะดวกซื้อ, และโซนคาเฟ่ Amazon
แต่ภายหลังการพูดคุยกับผู้บริหารจาก บริษัทซีพี และ บริษัท OR (โออาร์) ผู้ดูแลแฟรนไชส์ธุรกิจปั๊มน้ำมันและคาเฟ่ Amazon กลับพบความจริงที่น่าตกใจ: โครงสร้างของปั๊มต้องรื้อใหม่ทั้งหมด เพราะความเสียหายร้ายแรงถึง “เสาโครงสร้างหลัก” และ “ตู้จ่ายน้ำมัน” ที่ถือเป็นหัวใจของสถานีบริการ
จึงทำให้ยอดประมาณการล่าสุดพุ่งสูงขึ้นไปถึง 20 ล้านบาท และอาจเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ขึ้นอยู่กับราคาวัสดุก่อสร้าง ค่าแรง และสถานการณ์ภาคสนามที่ยังไม่เอื้ออำนวยให้เริ่มการก่อสร้างได้ทันที
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: ธุรกิจหยุด หนี้ยังเดิน
หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ ผลกระทบต่อรายได้ในแต่ละวัน ซึ่งไม่ใช่แค่ของเจ้าของธุรกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึง พนักงานประจำและชั่วคราวกว่า 20 ชีวิต ที่ต้องขาดรายได้ในระยะเวลานาน
นางกมลรัตน์ระบุว่า:
ตัวปั๊มน้ำมันเองจะต้องหยุดดำเนินการนาน 3 เดือน เพราะโครงสร้างเสียหายอย่างหนัก
ร้านคาเฟ่อเมซอน และร้านสะดวกซื้อในพื้นที่ปั๊มต้องปิดยาว ถึงแม้เดิมคาดว่า 1-2 เดือนจะกลับมาเปิดได้ แต่ด้วยสภาพโครงสร้างที่ถูกกระสุนลูกปลายเจาะทะลุเสา ทำให้ต้องรื้อถอนและเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด
“พนักงานไม่มีงาน ไม่มีรายได้ ค่าใช้จ่ายก็ยังคงต้องจ่าย เราไม่รู้จะประคองได้อีกนานแค่ไหน...” – เจ้าของปั๊ม
ผู้ประกอบการรายย่อยที่ลงทุนในแฟรนไชส์สถานีบริการน้ำมัน มักมีต้นทุนเริ่มต้นตั้งแต่ 10–50 ล้านบาท หากไม่ได้รับการชดเชยหรือเยียวยาอย่างทันท่วงที ก็อาจเข้าสู่ภาวะล้มละลาย หรือถูกบีบให้ขายกิจการในราคาต่ำ
บทบาทของภาครัฐ: การลงพื้นที่ที่ยังไม่ต่อยอด
แม้ว่า นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)** จะได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมจุดเกิดเหตุเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา และให้คำมั่นว่าจะนำเรื่องเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี แต่จนถึงขณะนี้ – ก็ยังไม่มีการประสานงานหรือคำตอบใดๆ กลับมาจากหน่วยงานรัฐ
“บอกว่าจะติดต่อมาเร็วๆ นี้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครติดต่อมาเลย” – นางกมลรัตน์กล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
เจ้าของธุรกิจจึงเรียกร้องให้ เร่งรัดกระบวนการเยียวยา และวางมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม เพราะแม้จะเป็นกิจการเล็กๆ เมื่อเทียบกับผู้เล่นระดับชาติ แต่ก็เป็นแหล่งจ้างงานสำคัญในพื้นที่ห่างไกล
เสียงจากแรงงานในพื้นที่: “เราไม่รู้จะเอาเงินจากไหนมาเลี้ยงลูก”
แม้สื่อจะไม่ได้เปิดเผยรายชื่อพนักงาน แต่จากการประเมินสถานการณ์พบว่า แรงงานท้องถิ่นที่ทำงานในปั๊มมีทั้งพนักงานประจำและพาร์ตไทม์ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจที่พึ่งพารายได้รายวันในการดำรงชีวิต
“ปั๊มหยุด เราก็ไม่มีรายได้ ต้องกู้หนี้ยืมสินจากญาติพี่น้อง” – พนักงานคนหนึ่งกล่าว
การว่างงานในระยะเวลา 2-3 เดือนโดยไม่มีค่าจ้างหรือการชดเชยใดๆ จากทั้งบริษัทแม่หรือรัฐ อาจนำไปสู่ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น การเข้าถึงสวัสดิการถดถอย และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจของครอบครัวชนชั้นแรงงานในชนบท
ความเงียบที่อันตราย: เมื่อความช่วยเหลือยังไม่มาถึง
แม้จะมีคำสั่ง “ให้รื้อถอนและเริ่มก่อสร้างใหม่ได้” จากหน่วยงานท้องถิ่น แต่จากการประเมินสถานการณ์ความตึงเครียดในพื้นที่ ทำให้เจ้าของกิจการยังไม่สามารถนำอุปกรณ์หรือแรงงานเข้าไปดำเนินการได้
“สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย มีความตึงเครียด เราไม่กล้าทำอะไรตอนนี้”
ความเงียบและความไม่แน่นอนนี้คืออุปสรรคสำคัญในการเดินหน้ากระบวนการฟื้นฟู เพราะนอกจากโครงสร้างที่เสียหาย ยังมีเรื่องของ “ความปลอดภัยของแรงงาน” ที่ต้องคำนึงถึงก่อนจะเริ่มการรื้อถอน
บทเรียนและคำถามถึงรัฐบาล
กรณีปั๊มน้ำมันบ้านผือคือภาพสะท้อนของการ ขาดแผนรับมือในสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐ โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการท้องถิ่น ที่ไม่ได้รับการเยียวยาหรือคำแนะนำอย่างทันท่วงที
คำถามที่รัฐบาลต้องตอบให้ชัดคือ:
มี กองทุนฟื้นฟูธุรกิจรายย่อยในพื้นที่วิกฤต หรือไม่?
หากมีคำสั่งให้เริ่มฟื้นฟูโครงสร้างแล้ว เหตุใด ความปลอดภัยในพื้นที่ยังไม่รับประกัน?
รัฐจะช่วย แรงงานชั่วคราวที่ว่างงานกลางคันอย่างไร? จะมีเบี้ยเยียวยาหรือไม่?
สรุป: ความเสียหายทางโครงสร้าง...และความเสียหายทางใจ
กรณีของ ปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ ไม่ใช่เพียงการสูญเสียทางกายภาพ แต่ยังสะท้อนถึง ช่องโหว่ของระบบการดูแลผู้ประกอบการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ภาครัฐควรตระหนัก
เจ้าของธุรกิจรายย่อยจำนวนมากทั่วประเทศต่างกำลังดำเนินชีวิตภายใต้ “ความไม่แน่นอน” ของทั้งภัยธรรมชาติ ภัยทางการเมือง และความไม่ชัดเจนของนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ
“ขอแค่การประสานงานที่รวดเร็ว เราไม่ใช่บริษัทใหญ่ เราแค่อยากให้พนักงานมีงานทำ ลูกค้ากลับมาเติมน้ำมัน และให้ชุมชนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง” – นางกมลรัตน์ทิ้งท้าย
หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจในพื้นที่วิกฤต และต้องการร้องเรียนหรือยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือจากรัฐ สามารถติดต่อได้ที่ [สายด่วน 1569 สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดศรีสะเกษ] หรือส่งอีเมลถึงกระ
ทรวงพาณิชย์เพื่อเข้าสู่ระบบฟื้นฟูวิกฤตธุรกิจ SMEs










