ย่าน้ำโขงใจสลาย หลานถูกแรงระเบิดดับคาอ้อมกอด หลังเสียงปืนสงบ
เปิดใจ “ย่าน้องน้ำโขง” เด็กชายวัย 8 ขวบเหยื่อจรวดชายแดน เสียชีวิตในอ้อมกอด – น้ำตา พร่าชีวิตพลเรือนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
จังหวัดศรีสะเกษ – บรรยากาศในชุมชนเงียบงัน ปกคลุมด้วยความโศกเศร้า หลังเกิดเหตุการณ์จรวด BM-21 จากฝั่งกัมพูชาตกลงมาในพื้นที่ชุมชนบ้านผือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จนเป็นเหตุให้เด็กชายวัยเพียง 8 ขวบชื่อว่า “น้ำโขง” ต้องเสียชีวิต ขณะอยู่ในบ้านกับครอบครัวของตน
ได้ลงพื้นที่สัมภาษณ์ “นางสะทน กันภัย” และ “นายสุธีร์ กันภัย” ย่าและปู่ของน้ำโขง ซึ่งเปิดใจทั้งน้ำตาถึงเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นไวและรุนแรงจนไม่มีเวลาแม้แต่จะตั้งตัว ทุกวินาทีในวันนั้นกลายเป็นภาพฝังลึกที่ครอบครัวจะไม่มีวันลืม
“เสียงระเบิดครั้งแรกดังขึ้น แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นฝันร้าย”
นางสะทนเล่าทั้งน้ำตาว่า ก่อนเกิดเหตุ เธอกำลังเก็บของภายในบ้าน หลานๆ เพิ่งกลับมาจากโรงเรียน โดยมี "น้ำโขง" และ "น้ําค้าง" ซึ่งเป็นหลานสองคนอยู่พร้อมหน้า ลูกชายของเธอก็กลับมาจากเลี้ยงควาย ทุกอย่างดูเหมือนวันปกติในชนบท
แต่ไม่นานนัก เสียงระเบิดกึกก้องสะท้านฟ้าดังขึ้นมาครั้งแรก ก่อนควันโขมงจะพวยพุ่งไปทั่วบริเวณ เธอบอกว่า
“ตอนนั้นเหมือนเสียงฟ้าผ่า แต่มันแรงมาก จนหน้าต่างสะเทือน ควันก็ฟุ้งไปหมด มองไม่เห็นอะไรเลย ได้แต่วิ่งหาลูกหลานว่ายังอยู่ดีหรือเปล่า หัวใจแทบหลุดออกมาจากอก”
ทันทีที่ควันเริ่มจางลง เธอรีบวิ่งออกมานอกบ้าน สิ่งที่เห็นคือภาพลูกหลานนอนกระจัดกระจายอยู่หน้าบ้าน โดยเฉพาะ “น้ำโขง” หลานชายคนเล็ก ที่นอนคว่ำหน้ากับพื้น ไม่ขยับเขยื้อน เธอร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจสุดขีด พร้อมตะโกนเรียกให้คนช่วย แต่บริเวณรอบบ้านกลับไร้ผู้คน
“หลานชายสิ้นใจในอ้อมกอด... ไม่ทันถึงโรงพยาบาล”
หลังจากเสียงระเบิดสงบลง ลูกชายของนางสะทน ซึ่งก็คือพ่อของน้ำโขง ก็บาดเจ็บเช่นกัน แต่พยายามคลานเข้าไปหาลูกชายที่กำลังเลือดไหลไม่หยุด ขณะเดียวกัน ย่าก็อุ้มน้ำโขงขึ้นมากอดด้วยความรักและหวังว่าหลานยังพอมีลมหายใจ
เธอกล่าวทั้งน้ำตา
“ตอนนั้นบอกลูกว่า ไม่ต้องคลาน เดี๋ยวแม่ไปเอาผ้ามาเช็ดให้เอง... แต่หลานก็หายใจเบาๆ เหมือนจะหมดแรงแล้ว เราได้แต่พยายามปลอบ บอกให้น้องอดทนไว้...”
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง รถ อบต. ในหมู่บ้านขับผ่านมา พอเห็นสถานการณ์จึงอาสาพาทั้งครอบครัวส่งโรงพยาบาลทันที เพราะรอรถพยาบาลไม่ไหวแล้ว แต่ระหว่างทาง “น้ำโขง” เริ่มหายใจรวยริน สุดท้ายเขาก็จากไปในอ้อมกอดของย่า ก่อนจะถึงโรงพยาบาล
เมื่อถึงที่โรงพยาบาล หมอบอกกับครอบครัวด้วยน้ำเสียงเศร้าว่า
“สมองไหล... หลานไม่รอดแล้ว”
“ยังไม่กล้าบอกพ่อของน้ำโขงว่า... ลูกชายจากไปแล้ว”
ขณะนี้พ่อของน้ำโขงยังนอนรักษาตัวอยู่ในห้องพักฟื้น หลังผ่านการผ่าตัดจากบาดแผลรุนแรง เขายังคงถามไถ่อาการลูกชายอยู่ตลอดเวลา แต่ครอบครัวยังไม่กล้าบอกความจริง เพราะเกรงว่าเขาจะรับไม่ไหวและอาการจะทรุดลง
นางสะทนกล่าวว่า
“เขาถามตลอดว่า น้ำโขงเป็นไง ลูกปลอดภัยไหม... แต่เราทำใจไม่ได้เลยที่จะบอกลูกว่า... หลานจากไปแล้วจริงๆ”
แม้เวลาจะผ่านไปหลายชั่วโมงหลังเหตุการณ์ แต่แววตาของย่าก็ยังเต็มไปด้วยความเศร้า กลัว และความรู้สึกสูญเสียที่ไม่อาจหวนคืน
น้ำตาคนไทย: จากบ้านที่อบอุ่น สู่สมรภูมิรบที่ไม่รู้ตัว
สิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของน้ำโขงไม่ใช่เพียง “ความสูญเสียของคนคนหนึ่ง” แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามที่ไม่เลือกเป้าหมาย ไม่เว้นแม้แต่เด็กที่ยังไม่เข้าใจคำว่า "ความขัดแย้ง"
น้ำโขง อายุเพียง 8 ปี ยังเรียนอยู่ชั้นประถมต้น เป็นเด็กสดใสร่าเริง ชอบวาดรูปและเล่านิทานให้ย่าฟัง ชีวิตที่มีอนาคตยังยาวไกล กลับถูกตัดจบลงอย่างไร้ความยุติธรรม
นางสะทนกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า
“เราทำอะไรผิด ทำไมลูกหลานเราต้องมาเจ็บ มาเสียชีวิต... พวกเราแค่ชาวบ้าน ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ”
ประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม
เหตุการณ์จรวด BM-21 ตกในพื้นที่ชุมชนเป็น การกระทำที่ละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างชัดเจน ตามกฎหมายระหว่างประเทศ การโจมตีด้วยอาวุธหนักในพื้นที่ที่มีประชาชนอยู่อาศัยจำนวนมากถือเป็นการละเมิดข้อตกลงและมติของสหประชาชาติ
ในขณะที่รัฐบาลไทยกำลังเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับครอบครัวเหยื่อ แต่คำถามสำคัญยังคงอยู่:
“ใครจะรับผิดชอบกับการตายของเด็กวัย 8 ขวบคนหนึ่ง? และใครจะรับผิดชอบกับบาดแผลทางใจของครอบครัวที่ไม่อาจเยียวยาได้ตลอดชีวิต?”
ชีวิตหลังจากนี้: บ้านที่ไม่มีน้ำโขง
บ้านหลังเดิมที่เคยมีเสียงหัวเราะของเด็กชายตัวเล็กๆ ตอนนี้กลายเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงา ทุกซอกมุมคือความทรงจำของน้ำโขง ทั้งเสื้อผ้า ตุ๊กตา และภาพวาดการ์ตูนที่เขาเคยติดผนังไว้ ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่เคยเคลื่อนย้าย
“คืนแรกที่ไม่มีหลานนอนอยู่ข้างๆ มันเงียบจนใจจะขาด...”
ย่าพูดพร้อมน้ำตาไหล
แม้ชาวบ้านในชุมชนจะร่วมไว้อาลัยอย่างอบอุ่น มีการจัดพิธีทางศาสนาอย่างเรียบง่าย แต่สำหรับคนในครอบครัว การสูญเสียครั้งนี้คือรอยแผลที่ไม่มีวันลบ
บทสรุป: เหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิด... กับผู้บริสุทธิ์
เรื่องราวของ “น้ำโขง” ควรเป็นจุดเปลี่ยนของสังคมและผู้นำประเทศในภูมิภาคนี้ เพื่อทบทวนและตรวจสอบพฤติกรรมของการใช้กำลังทางทหาร ที่ไม่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่เคารพสิทธิมนุษยชน และไม่เห็นค่าชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์
ขอให้เรื่องราวนี้ไม่ถูกลืม ไม่ใช่แค่ข่าวที่จางหายไปในกระแส แต่เป็น สัญญาณเตือน ถึงทุกฝ่ายว่า “ความรุนแรงใดๆ ที่กระทำต่อเด็กและพลเรือน... ไม่ควรถูกมองข้ามหรือปล่อยผ่านไป”














