สรุปเหตุรุนแรง! ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เสียชีวิต 14 บาดเจ็บนับสิบ
ปะทะเดือดชายแดนไทย-กัมพูชา 24 ก.ค. 68: เสียชีวิตแล้ว 14 ราย – กองทัพไทยประณามการละเมิดมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง
25 กรกฎาคม 2568 — สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาทวีความตึงเครียดอย่างหนักหลังเกิดเหตุปะทะด้วยอาวุธระหว่างกองกำลังของทั้งสองประเทศ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เหตุการณ์ดังกล่าวคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปอย่างน้อย 14 ราย และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวมกัน กว่า 46 ราย ทั้งในส่วนของพลเรือนและทหาร ขณะที่พื้นที่ชายแดนใน 4 จังหวัดของไทย ได้รับความเสียหายจากการยิงถล่มด้วยจรวด BM-21 และอาวุธหนักหลายระลอก
โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย พลตรี วิทัย ลายถมยา แถลงสรุปเหตุการณ์พร้อมประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชา โดยระบุว่า “เป็นการละเมิดหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง” และเรียกร้องให้ยุติการโจมตีพลเรือนทันที
ลำดับเหตุการณ์การปะทะ: จากการสำรวจ UAV ถึงจรวดถล่มกลางชุมชน
จากรายงานของ กรมกิจการชายแดนทหาร ได้ระบุไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ปะทะในวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ไว้อย่างชัดเจนดังนี้:
เวลา 07.45 น. – สัญญาณเตือนภัยแรก: UAV ล้ำแดน
กองกำลังสุรนารีตรวจพบ อากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินล้ำเข้ามาสำรวจพื้นที่บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม ก่อนที่กำลังทหารกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือ จะเคลื่อนประชิดแนวลวดหนามฝั่งไทย
ฝ่ายไทยพยายามใช้การเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่ไม่เป็นผล
เวลา 08.20 น. – จุดเริ่มต้นการปะทะ
กัมพูชาเปิดฉากยิงอาวุธเบาเข้าใส่ ฐานปฏิบัติการของไทย ใกล้ปราสาทตาเมือน ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย
เวลา 09.30 น. – จรวด BM-21 สร้างความสูญเสียในบุรีรัมย์
ฝ่ายกัมพูชายิง จรวด BM-21 จากเขาแหลม เข้าตกในพื้นที่บ้านขึ้นเหล็ก อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ส่งผลให้พลเรือนบาดเจ็บ 1 ราย อีกลูกหนึ่งตกในเขตอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ทำให้ พลเรือนเสียชีวิต 1 ราย
เวลา 09.45 น. – ศูนย์พัฒนาชายแดนถูกโจมตี
จรวด BM-21 ยิงใส่ ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เป็นระลอกที่สองของการโจมตีพื้นที่พลเรือน
ช่วงเวลา 10.00–10.22 น. – ถล่มฐานทัพในอุบลฯ
ตรวจพบจรวดตกในฐานหมูป่า ฐานพตุง และเนิน 500 จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกระสุนปืนใหญ่ตกใส่พื้นที่ ผามออีแดง และฐานทัพ ส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บ 7 นาย
เวลา 10.28–10.40 น. – ฐานมาเรีย และบ้านเรือนเสียหาย
ฝ่ายกัมพูชายิงจรวดถล่มพื้นที่ฐานมาเรียและบ้านโพนทอง ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้บ้านเรือนประชาชนเสียหาย
เวลา 10.48–11.00 น. – พื้นที่เชิงพาณิชย์ถูกโจมตี
จรวด BM-21 จำนวน 3 ลูกตกในบริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ สร้างความเสียหายแก่ร้านค้าเอกชน มีพลเรือนเสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บอีก 14 ราย
เวลา 11.02–12.21 น. – ปะทะต่อเนื่องทั่วแนวชายแดน
เกิดการปะทะอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ชายแดนจังหวัด บุรีรัมย์ สุรินทร์ และอุบลราชธานี กระสุนและจรวดตกใส่เขตชุมชนและบ้านเรือนประชาชนอย่างกว้างขวาง
สรุปยอดความสูญเสีย ณ เวลา 21.00 น. วันที่ 24 กรกฎาคม 2568
พลเรือน
เสียชีวิต: 13 ราย
บาดเจ็บสาหัส: 7 ราย
บาดเจ็บปานกลาง: 13 ราย
บาดเจ็บเล็กน้อย: 12 ราย
รวม: 45 ราย
ทหาร
เสียชีวิต: 1 นาย
บาดเจ็บสาหัส: 6 นาย
บาดเจ็บปานกลาง: 5 นาย
บาดเจ็บเล็กน้อย: 3 นาย
รวม: 15 นาย
ความเสียหายต่อทรัพย์สินและโครงสร้างพื้นฐาน
นอกจากความสูญเสียด้านชีวิต ยังมีความเสียหายต่อบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ชายแดนอย่างน้อย 4 จังหวัด ได้แก่:
บุรีรัมย์: บ้านขึ้นเหล็กถูกจรวด BM-21 ถล่ม, โครงสร้างบ้านเรือนเสียหายบางส่วน
สุรินทร์: เสียชีวิต 1 รายในเขตชุมชน, ศูนย์พัฒนาชายแดนได้รับความเสียหาย
อุบลราชธานี: ฐานทัพและเนินยุทธศาสตร์ได้รับความเสียหาย, บ้านเรือนในอำเภอน้ำยืนเสียหาย
ศรีสะเกษ: ร้านค้าในสถานีบริการน้ำมันเสียหายอย่างหนัก, มีพลเรือนเสียชีวิตมากที่สุด
กองทัพไทยชี้ “การโจมตีพลเรือนคือการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรม”
พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย กล่าวประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชา พร้อมระบุว่า การยิงโจมตีพื้นที่พลเรือนโดยตรงเป็น การละเมิดหลักการของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งระบุชัดว่า การปฏิบัติการทางทหารต้องมุ่งเป้าเฉพาะเป้าหมายทางทหาร (Military Objectives) เท่านั้น
“การที่กัมพูชาทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลและสถานีบริการน้ำมัน รวมถึงพื้นที่ชุมชน ถือเป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อกฎสากลและเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติ”
ความเคลื่อนไหวของฝ่ายไทย: เน้นเจรจาและรักษาอธิปไตย
แม้สถานการณ์จะตึงเครียด กองทัพไทยยังคงย้ำจุดยืนว่าจะ ไม่เป็นฝ่ายยั่วยุ และจะดำเนินการตอบโต้เฉพาะเพื่อปกป้องประชาชนและอธิปไตยของชาติ พร้อมกับใช้ช่องทางทางการทูตและความร่วมมือระหว่างประเทศในการเรียกร้องความยุติธรรม
พลตรี วิทัยกล่าวเสริมว่า:
“ประเทศไทยยึดมั่นในหลักนิติธรรมและคุณค่าของมนุษยธรรมสากล พร้อมดำรงเจตนารมณ์ในการปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างถึงที่สุด”
บทสรุป: สถานการณ์ที่ไม่ควรนิ่งเฉย
เหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย–กัมพูชาครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ความรุนแรงที่ร้ายแรงที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา การโจมตีเป้าหมายพลเรือนไม่เพียงเป็นปัญหาเชิงยุทธศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นประเด็นทางจริยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศที่ต้องมีการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน
ประเทศไทยในฐานะสมาชิกของประชาคมโลก ยืนยันจะดำเนินการภายใต้กรอบของความยุติธรรมและความโปร่งใส เพื่อให้เกิดการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน และเพื่อให้ “ผู้กระทำความผิดไม่สามารถหลบเลี่ยงความรับผิดชอบไปได้”
ในขณะที่แนวหน้าของชายแดนยังต้องเฝ้าระวังภัยอย่างเข้มงวด แนวหลังของประเทศเองก็ต้องเตรียมพร้อมทั้งด้านสื่อสาร การทูตและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบในทุกมิติ














