กลับมาอีกครั้ง! สาวเขมรปากแซ่บ เปิด TikTok ใหม่หลังโดนทัวร์ไทยถล่มจนปลิว
ยกสองยังไม่จบ! "สาวเขมรเสื้อชมพู" เปิดวาร์ป TikTok ช่องใหม่หลังช่องเก่าปลิว – ชาวเน็ตไทยตามบุกเมนต์ป่วนทันที
ดูเหมือนว่า "ดราม่าข้ามพรมแดน" ระหว่างชาวเน็ตไทยและ "สาวเขมรเสื้อชมพู" จะยังไม่ยุติลงง่าย ๆ เมื่อล่าสุดเจ้าตัวได้หวนคืนสู่วงการโซเชียลมีเดียอีกครั้ง หลังจากถูกกลุ่มชาวเน็ตไทยรุมรีพอร์ตช่อง TikTok เก่าจนปลิวหายไปจากแพลตฟอร์ม พร้อมกันนั้นยังประกาศสงครามทางคีย์บอร์ดกับโลกออนไลน์ไทยในอีกรอบ จนกลายเป็นกระแสดราม่าร้อนแรงในโลกโซเชียลตลอดหลายวันที่ผ่านมา
ย้อนรอยดราม่า "สาวเขมรเสื้อชมพู" – จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
กระแสดราม่านี้เริ่มต้นเมื่อหลายเดือนก่อน จากคลิปวิดีโอ TikTok ของหญิงสาวชาวกัมพูชารายหนึ่ง ที่ชาวเน็ตไทยขนานนามให้ว่า “สาวเขมรเสื้อชมพูปากแซ่บ” เนื่องจากในคลิปปรากฏภาพเธอสวมเสื้อยืดสีชมพู พร้อมกล่าวจาบจ้วงและแสดงท่าทีท้าทายชาวไทย โดยมีฉากหลังคือสถานที่ซึ่งเป็นโบราณสถานในเขตชายแดนอย่าง “ปราสาทตาเมือนธม” ซึ่งเป็นจุดที่ไทยและกัมพูชามีข้อพิพาทด้านพรมแดนมาอย่างยาวนาน
การกระทำดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับชาวเน็ตไทยจำนวนมากที่มองว่าพฤติกรรมของเธอไม่เหมาะสม และอาจเป็นการบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไม่สมควร ส่งผลให้มีการรวมตัวกันของผู้ใช้งาน TikTok ชาวไทยเพื่อทำการ “รีพอร์ต” ช่องของเธออย่างพร้อมเพรียง จนบัญชีของเธอที่ใช้ชื่อว่า @chanboryber22 ถูกปิดไปในที่สุด
เปิดช่องใหม่พร้อมท้ารบอีกครั้ง – @chanboryber21
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าการปิดบัญชีจะไม่ทำให้เจ้าตัวถอดใจแต่อย่างใด เพราะล่าสุดเธอได้กลับมาอีกครั้งภายใต้บัญชีใหม่ชื่อ @chanboryber21 ซึ่งแตกต่างจากบัญชีเดิมเพียงตัวเลขท้ายเท่านั้น พร้อมโพสต์คลิปวิดีโอใหม่ถึง 4 คลิปภายในเวลาอันรวดเร็ว ท่ามกลางกระแสต้อนรับจาก “หัวร์ไทย” ที่ตามไป “จอดรถทัวร์” และแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลามอีกครั้ง
ข้อมูลจากการตรวจสอบพบว่า ภายในเวลาไม่กี่วัน ช่องใหม่นี้มียอดผู้ติดตามแล้วกว่า 1,610 คน และยอดถูกใจรวมกว่า 2,000 ครั้ง คลิปวิดีโอที่ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นคลิปที่เธอสวมเสื้อยืดรัดรูปสีดำและยังคงแสดงท่าทีท้าทายตามสไตล์เดิม จนกลายเป็นศูนย์รวมความสนใจของชาวเน็ตไทยในเวลานี้
กลยุทธ์รีพอร์ตในยามค่ำคืน – แผนเด็ด "หัวร์ไทย"
เพจเฟซบุ๊กชื่อดังอย่าง “บันเทิงหน้าตุ๊ด” ยังได้เปิดเผยเบื้องหลังการปิดบัญชีของสาวเขมรในรอบที่แล้วอย่างมีสีสัน โดยระบุว่า หัวร์ไทยเลือกลงมือในช่วงเวลาหลังสี่ทุ่ม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เชื่อกันว่า “ฝั่งกัมพูชาไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้” ทำให้เธอไม่สามารถตอบโต้หรือแก้ไขสถานการณ์ได้ทันการ ส่งผลให้บัญชีเก่าถูกระบบ TikTok ตรวจสอบและระงับใช้งานในที่สุด
กลยุทธ์นี้ถูกแชร์และพูดถึงอย่างแพร่หลายในกลุ่มชาวเน็ตไทย จนบางคนถึงกับตั้งชื่อเล่นให้กับปรากฏการณ์นี้ว่า “สงครามกลางดึก” หรือ “รีพอร์ตมาราธอน 22.00 น.” ซึ่งสร้างความฮือฮาและเสียงหัวเราะในโลกออนไลน์ไม่น้อย
ดราม่ายก 2 กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
แม้ว่าการกลับมาของสาวเขมรเสื้อชมพูจะถูกมองว่าเป็นการเปิดศึก "ยก 2" กับชาวเน็ตไทย แต่ก็ยังมีคำถามอีกมากมายเกี่ยวกับแรงจูงใจเบื้องหลังพฤติกรรมของเธอ เช่น
เธอกำลังพยายามสร้างกระแสเพื่อความดังหรือไม่?
มีเจตนาเชิงการเมืองแฝงอยู่หรือเปล่า?
หรือเป็นเพียงการหา “คอนเทนต์ไวรัล” เพื่อยอดไลก์และยอดวิว?
คำถามเหล่านี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่ที่แน่ ๆ คือ ดราม่าครั้งนี้ได้จุดประกายการถกเถียงในประเด็นสำคัญระดับภูมิภาค เช่น ประวัติศาสตร์ร่วม, พรมแดนวัฒนธรรม, และการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือปลุกกระแสความขัดแย้ง
มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ – โซเชียลมีเดียในฐานะ “สนามรบทางวัฒนธรรม”
นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลายคนให้ความเห็นตรงกันว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะสื่อโซเชียลได้กลายเป็น “สนามรบทางวัฒนธรรม” ที่อ่อนไหวต่อการปลุกเร้าอารมณ์ของผู้คนในวงกว้าง โดยเฉพาะเมื่อประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความเชื่อชาติ, อัตลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ และพื้นที่พรมแดน
การตอบโต้ด้วยอารมณ์และความคับข้องใจบนโลกออนไลน์ แม้จะดูสะใจในระยะสั้น แต่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อหากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม
ควรหยุดหรือเดินหน้าต่อ? เสียงแตกในหมู่ชาวเน็ตไทย
ท่ามกลางเสียงหัวเราะและความสะใจ ยังมีชาวเน็ตบางส่วนที่แสดงความเห็นต่าง โดยเรียกร้องให้เลิกให้ความสนใจกับบุคคลดังกล่าว เพราะเชื่อว่าการปั่นกระแสตอบโต้จะยิ่งทำให้เธอได้รับความสนใจมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่เธอต้องการตั้งแต่แรก
บางความเห็นกล่าวว่า “อย่าไปเล่นเกมเดียวกับเขา การรีพอร์ตบ่อย ๆ อาจไม่ใช่คำตอบ แต่กลับทำให้เขามีชื่อเสียงมากขึ้นในหมู่ผู้ชมของเขาเอง”
บทเรียนจากดราม่า: คอนเทนต์มีอิทธิพลกว่าที่คิด
กรณีของสาวเขมรเสื้อชมพูเป็นเครื่องเตือนใจว่า คอนเทนต์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเจตนาเพียงเล็กน้อยสามารถจุดประกายดราม่าระดับชาติได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง โดยเฉพาะในยุคที่โซเชียลมีเดียมีพลังเหนือกว่าทั้งสื่อหลักและการทูตแบบดั้งเดิม
สรุป: สงครามทางคีย์บอร์ดยังไม่จบ ต้องจับตาต่อไป
ไม่ว่าจะด้วยเจตนาใด การกลับมาของ “สาวเขมรเสื้อชมพู” ภายใต้บัญชีใหม่คือสัญญาณว่าการปะทะกันทางออนไลน์ระหว่างผู้ใช้ TikTok ชาวไทยและชาวกัมพูชายังคงร้อนแรงต่อเนื่อง การแสดงออกในโซเชียลอาจดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อพาดพิงถึงประเด็นอ่อนไหวอย่างประวัติศาสตร์และพรมแดน ก็ย่อมกระทบใจคนจำนวนไม่น้อย
ในยุคที่สื่อออนไลน์ทรงพลัง การจัดการความขัดแย้งบนโซเชียลจึงต้องอาศัยทั้งวุฒิภาวะทางอารมณ์ สติ และความเข้าใจในประวัติศาสตร์ร่วมมากกว่าการตอบโต้ด้วยความโกรธเพียงอย่างเดียว
เรื่องนี้จึงยังไม่จบ และอาจมี “ยก 3” รออยู่ไม่ไกลนัก…



















