ไม่ปฏิเสธแล้ว! “เจ้าคุณณรงค์” ยอมรับชัด เอาทองวัดไปขายจริง
ดราม่าทองคำหายวัดม่วง เจ้าอาวาสยอมรับ "เอาทองไปขายจริง" – บิ๊กเต่า เตรียมดำเนินคดี หากเข้าข่ายผิดกฎหมาย
วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 กลายเป็นอีกหนึ่งวันที่สะเทือนวงการพระพุทธศาสนาไทยอีกครั้ง เมื่อเกิดความคืบหน้ากรณีอื้อฉาวที่ได้รับความสนใจจากสังคมมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กรณี เงินสดและทองคำมูลค่ากว่า 22 ล้านบาทหายไปจากวัดม่วง จังหวัดอ่างทอง ซึ่งก่อนหน้านี้ พระราชวัชรพัฒนาทร หรือ เจ้าคุณณรงค์ เจ้าอาวาสวัดม่วง ได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2568 ว่าทรัพย์สินจำนวนมหาศาลได้หายไปจากวัดอย่างลึกลับ
ในช่วงแรกที่มีการแจ้งความ สังคมตั้งคำถามมากมายว่า เหตุใดเจ้าอาวาสจึงไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าทรัพย์สินดังกล่าวหายไปอย่างไร และทำไมถึงไม่สามารถให้ข้อมูลที่เป็นรูปธรรมได้ ทั้งนี้ ท่านเจ้าอาวาสได้กล่าวเพียงว่า "จำไม่ได้แน่ชัด" และบางช่วงของการให้ปากคำก็ระบุว่า "อาจจะลืมไป"
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว เผย เจ้าอาวาสยอมรับแล้ว เอาทองไปขายจริง
ล่าสุด พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนถึงความคืบหน้าในการสอบสวนว่า หลังจากมีการสอบถามเพิ่มเติมและสืบหาข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง ท่านเจ้าอาวาสได้ยอมรับว่า นำทองคำไปขายจริง โดยไม่มีการแจ้งหรือปรึกษาคณะกรรมการวัดหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
การยอมรับของเจ้าอาวาสครั้งนี้ทำให้เรื่องราวพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเดิมทีสังคมเชื่อว่าทรัพย์สินถูกขโมยหรือมีบุคคลภายนอกเข้ามาลักทรัพย์ แต่เมื่อท่านเจ้าอาวาสออกมายอมรับด้วยตนเองว่าเป็นผู้ที่นำทรัพย์สินไปขาย เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญในแง่ของความโปร่งใส และศีลธรรมในวงการพระสงฆ์
ท่าทีของ "บิ๊กเต่า" และแนวทางทางกฎหมาย
ในขณะเดียวกัน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ หรือที่หลายคนในวงการรู้จักกันดีในนาม “บิ๊กเต่า” ได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินคดีว่า พฤติกรรมของเจ้าอาวาสนั้น เข้าข่ายหมิ่นเหม่ต่อการกระทำความผิดทางกฎหมาย โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับการเบียดบังทรัพย์สินของวัด ซึ่งตามกฎหมายถือว่าเป็นทรัพย์สินสาธารณะ ไม่ใช่ของส่วนบุคคล
แม้ว่าท่านเจ้าอาวาสจะอ้างว่าทำไปโดยมีเจตนาดี เช่น นำเงินไปใช้ในกิจของสงฆ์ หรือนำไปลงทุนเพื่อประโยชน์ของวัด แต่การดำเนินการใด ๆ ที่ไม่มีการเปิดเผยหรือได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการวัด ก็อาจเข้าข่ายเป็นความผิดทางกฎหมายได้เช่นกัน
ประเด็นสำคัญ: ทองคำหาย กับความโปร่งใสในวัด
กรณีนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึง ความจำเป็นอย่างยิ่งในเรื่องของการตรวจสอบภายในวัด และการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดอย่างโปร่งใส เพราะวัดเป็นสถานที่ที่ได้รับบริจาคจากประชาชนผู้ศรัทธา การใช้จ่ายหรือการจัดการทรัพย์สินจำเป็นต้องมีการตรวจสอบและบันทึกไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต
หลายเสียงในสังคมยังได้ออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการบริหารจัดการวัดในประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องของบัญชีรายรับรายจ่าย และการจัดเก็บทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ ที่ประชาชนได้ถวายให้กับพระภิกษุสงฆ์เพื่อใช้ในกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา
กระแสสังคมต่อเจ้าอาวาสวัดม่วง
ภายหลังการยอมรับของเจ้าคุณณรงค์ว่ามีการนำทองคำไปขายจริง สังคมออนไลน์ต่างออกมาแสดงความเห็นในหลากหลายทิศทาง บ้างก็แสดงความผิดหวังกับการกระทำของพระชั้นผู้ใหญ่ที่ควรเป็นแบบอย่าง บ้างก็ตั้งคำถามถึงระบบการคัดกรองและตรวจสอบของหน่วยงานสงฆ์ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
อีกทั้งยังมีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ตั้งข้อสังเกตว่า หากไม่มีแรงกดดันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและสื่อมวลชน ท่านเจ้าอาวาสอาจจะไม่ออกมายอมรับความจริงเลยก็ได้ และอาจปล่อยให้คดีนี้จบลงด้วยคำว่า “ทองหายไปอย่างลึกลับ”
เจ้าอาวาสยืนยัน “ไม่ได้มีเจตนาทุจริต”
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวใกล้ชิดกับเจ้าอาวาสวัดม่วงระบุว่า ท่านเจ้าอาวาสมิได้มีเจตนาทุจริตแต่อย่างใด แต่เกิดจากการดำเนินการที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ โดยระบุว่า เจ้าอาวาสเชื่อว่าเป็นการนำทองไปเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อใช้ในกิจการของวัด เช่น การบูรณปฏิสังขรณ์อาคาร การสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนา หรือการช่วยเหลือผู้ยากไร้
แต่ข้ออ้างดังกล่าวก็ไม่ได้ลดทอนความผิดในทางกฎหมาย เนื่องจากการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดจำเป็นต้องเป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด มิใช่ตามวิจารณญาณของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบวัดไทย
กรณีนี้เป็นเสมือน “สัญญาณเตือนภัย” ครั้งใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของวัดในประเทศไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น
การไม่มีระบบการตรวจสอบภายในอย่างมีประสิทธิภาพ
การไม่มีหน่วยงานกลางที่เป็นอิสระในการตรวจสอบทรัพย์สินของวัด
ความไม่โปร่งใสในการใช้เงินบริจาคจากญาติโยม
การไม่จำกัดอำนาจในการตัดสินใจของเจ้าอาวาส
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นช่องว่างที่อาจนำไปสู่การทุจริตหรือใช้อำนาจโดยมิชอบได้ง่าย และจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐและองค์กรพุทธศาสนาจะต้องหันมาให้ความสำคัญอย่างจริงจัง
สรุป: ความจริงที่เปิดเผย กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
แม้ว่าขณะนี้ท่านเจ้าอาวาสจะยอมรับว่า “เอาทองไปขายจริง” แล้วก็ตาม แต่คำถามสำคัญที่ยังคงค้างคาใจสังคมก็คือ:
ทองคำที่ขายไปนั้น นำไปใช้อย่างไรบ้าง?
ขายให้ใคร และในราคาต่ำกว่าทุนหรือไม่?
เหตุใดถึงไม่มีบันทึกหรือหลักฐานในการเบิกจ่าย?
ทำไมถึงไม่แจ้งความตั้งแต่แรกว่าเป็นผู้ดำเนินการเอง?
คำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่จะต้องสืบสวนต่อไป และเป็นภารกิจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการทำให้ “ศรัทธา” ของประชาชนกลับคืนมาในวงการพระพุทธศาสนาไทย




















