เสี่ยโบ๊ทเปิดใจ! ดราม่าตบหน้านักมวย แค่เรียกสติ ชี้เป็นเรื่องปกติในวงการ
เสี่ยโบ๊ท ชี้แจงดราม่าตบหน้านักมวยกลางเวที เผยเหตุผลเพื่อ "ปลุกสติ" ไม่ใช่ทำร้าย – ปลาคราฟยืนยัน "เพราะรัก"
จากกระแสดราม่าร้อนแรงในโลกออนไลน์ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา คลิปไวรัลที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก คือเหตุการณ์ที่ "เสี่ยโบ๊ท" ณัฐเดช วชิรรัตนวงศ์ โปรโมเตอร์มวยชื่อดัง และสามีของนักแสดงสาว พราวฟ้า การัญชิตา ได้ตบหน้านักมวยในสังกัด "แพรวพราว เพชรยินดีอะคาเดมี่" หรือ ปลาคราฟ ระหว่างช่วงพักยกการแข่งขัน ทำให้หลายคนเกิดความไม่สบายใจ และตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของพฤติกรรมดังกล่าว
แต่หลังจากกระแสตีกลับ เสี่ยโบ๊ท และนักมวยคนดังกล่าวก็ได้ออกมาเปิดใจชี้แจงเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียด พร้อมทั้งย้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น "ไม่ใช่ความรุนแรง" แต่คือการ "ปลุกสติ" ในช่วงเวลาอันจำกัด เพื่อความปลอดภัยของนักมวยเอง
เปิดใจทั้งน้ำตา “เสี่ยโบ๊ท-ปลาคราฟ” เผยเบื้องหลังนาทีดราม่า
เหตุการณ์ในคลิปเกิดขึ้นระหว่างการแข่งมวยในยกที่ 2 ซึ่งปลาคราฟเริ่มมีสภาพไม่สมบูรณ์ และแสดงอาการท้อแท้ เสี่ยโบ๊ทเล่าว่า เขาสังเกตเห็นจากสายตาและท่าทางของนักมวยคู่ใจที่ดู "หมดใจ" และรู้ทันทีว่า ปล่อยให้ออกไปในสภาพนั้นอาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหนัก
“ผมมีเวลาแค่ 2 นาทีในช่วงพักยก ต้องทำทุกวิถีทางให้เขามีสติกลับมา อย่างน้อยก็เดินออกไปเพื่อป้องกันตัว ไม่ใช่ยืนให้คู่ต่อสู้รุมซ้ำจนเจ็บหนัก”
เสี่ยโบ๊ทจึงตัดสินใจตบหน้าปลาคราฟ 2 ครั้ง พร้อมถามว่าเจ็บตรงไหนบ้าง ซึ่งปลาคราฟตอบว่า “จมูก 2 ครั้ง กราม 1 ครั้ง และมีเลือดคั่งอีก 1 ครั้ง”
“ผมไม่ได้ตบเพื่อระบายอารมณ์ แต่ตบเพราะรัก ตบเพราะกลัวเขาตายกลางเวที ถ้าผมไม่ทำอะไรเลย แล้วเขาเดินออกไปเจอหมัดคู่ต่อสู้อีก ผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเอง”
ปลาคราฟเปิดใจ “ไม่เจ็บ แต่มีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง”
ในคลิปที่ถูกวิจารณ์กันอย่างหนัก นักมวยหนุ่มปลาคราฟ หรือ "แพรวพราว เพชรยินดีอะคาเดมี่" ก็ออกมายืนยันในงานแถลงข่าวร่วมกับเสี่ยโบ๊ทว่า ตนไม่ได้รู้สึกว่าโดนทำร้ายแต่อย่างใด กลับกัน เขารู้สึกว่าเป็นการปลุกให้กลับมามีสติ
“ตอนนั้นผมท้อแล้ว ไม่ไหวแล้วครับ มันเจ็บทั้งตัว ถ้าออกไปก็มีแต่ยืนให้เขาต่อย ผมยังบอกเสี่ยว่า 'พ่อ ไม่อยากออกไปแล้ว' พอเสี่ยตบ ก็เหมือนเรียกสติ ผมมีแรงใจขึ้นมาอีกครั้ง”
ปลาคราฟยังกล่าวด้วยน้ำตาว่า สิ่งที่เสี่ยโบ๊ททำมาตลอดสิบกว่าปีนั้น ไม่ใช่แค่เป็นหัวหน้าค่ายหรือโปรโมเตอร์ แต่เป็นเหมือนพ่อคนที่สอง ที่เลี้ยงดูและอยู่เคียงข้างเสมอ
เสี่ยโบ๊ทย้ำ “คนไม่อยู่ในวงการไม่มีวันเข้าใจ” พร้อมขอโทษหากใครไม่สบายใจ
เสี่ยโบ๊ทยืนยันว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้น อาจดูรุนแรงในสายตาคนนอกวงการ แต่หากใครเคยอยู่ในสนามมวย หรือเลี้ยงนักมวยจริงๆ จะเข้าใจว่าทุกวินาทีบนเวทีนั้นอันตรายแค่ไหน
“นี่คือกีฬาต่อสู้ มันใช้ทั้งร่างกายและจิตใจ นักมวยที่ขึ้นเวทีต้องมีสติทุกวินาที ถ้าไม่มีแรงใจหรือหลุดโฟกัสไปแม้แต่นิดเดียว อาจต้องจบชีวิตบนเวทีได้เลย”
พร้อมกันนี้ เสี่ยโบ๊ทยังได้กล่าวขอโทษทุกคนที่ดูคลิปแล้วรู้สึกไม่สบายใจ โดยย้ำว่าเจตนาของเขามีเพียงอย่างเดียวคือ "ความปลอดภัยของปลาคราฟ"
“ผมยอมให้ทั้งประเทศด่าก็ได้ แต่ผมไม่ยอมให้ปลาคราฟเดินออกไปแล้วโดนซ้ำจนเข้าโรงพยาบาล ผมขอโทษที่ทำให้หลายคนรู้สึกไม่ดี แต่ขอให้เข้าใจว่าผมทำเพราะรักจริงๆ”
เส้นทางหลังวางนวม ปลาคราฟเตรียมรับบทใหม่ในวงการมวย
ในงานแถลงข่าว ปลาคราฟได้ประกาศว่าเขาจะ "พอแล้ว" กับอาชีพนักมวย โดยเผยว่า ร่างกายและจิตใจไม่พร้อมจะขึ้นเวทีอีกแล้ว พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณเสี่ยโบ๊ทที่ดูแลเขามาตลอดชีวิตในวงการ
“ผมสงสารพ่อ สงสารตัวเอง ทุกครั้งที่ชกผมก็คิดว่าร่างกายจะไหวไหม จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทุกวันนี้เวลานอนยังฝันร้าย ไม่อยากกลับไปตรงนั้นแล้วครับ”
เสี่ยโบ๊ทก็เผยว่าได้วางแผนอนาคตให้ปลาคราฟแล้ว โดยจะให้พักที่ค่ายต่ออีก 1-2 เดือน ก่อนพาไปช่วยดูแลสนามมวยที่ภูเก็ต และวางอนาคตให้เขาทำงานที่เหมาะกับสภาพร่างกายในปัจจุบัน
ความสัมพันธ์ที่ยิ่งกว่านาย-ลูกน้อง
สิ่งหนึ่งที่ผู้ชมสัมผัสได้จากคำพูดของทั้งเสี่ยโบ๊ทและปลาคราฟคือความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกินกว่าคำว่านายจ้าง-ลูกจ้าง ทั้งคู่เปรียบเสมือนครอบครัว มีความรัก ความผูกพัน และต่างคนต่างหวังดีให้กันเสมอ
“เคยพูดกันตั้งแต่ก่อนมาถึงจุดนี้ว่า ไม่ผมก็นายต้องตายกันไปข้างหนึ่ง แต่มาวันนี้หน้าที่ของเขาจบแล้ว ก็ถึงเวลาที่ผมจะดูแลเขากลับบ้าง” – เสี่ยโบ๊ท
ปลาคราฟก็พูดปิดท้ายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“ถ้าไม่มีเสี่ยโบ๊ท ผมคงไม่มีวันนี้ ทุกอย่างที่ได้มาเพราะเสี่ย ผมไม่มีอะไรโชคดีไปกว่านี้แล้ว”
สรุป: จากดราม่าสู่ความเข้าใจในมิตรภาพนักสู้
แม้คลิปเหตุการณ์จะสร้างความตกใจแก่สังคมในวงกว้าง แต่เมื่อได้ฟังคำอธิบายและมุมมองจากทั้งสองฝ่าย สิ่งที่เราได้เห็นไม่ใช่ "ความรุนแรง" แต่คือ "ความรัก" และ "ความห่วงใย" ในแบบที่คนในวงการมวยเข้าใจกัน
เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญว่า โลกออนไลน์ควรเปิดใจรับฟังจากทุกมุม ก่อนจะตัดสินสิ่งใดเพียงจากคลิปไม่กี่วินาที เพราะเบื้องหลังนั้นอาจซ่อนความจริงที่ลึกซึ้ง และมนุษยธรรมที่คาดไม่ถึง
หากคุณชื่นชอบบทความนี้ ฝากกดแชร์ หรือแสดงความคิดเห็นเพื่อสนับสนุนวงการมวยไทย และเปิดพื้นที่ให้เข้าใจกีฬาต่อสู้อย่างแท้จริง





















