โซเชียลทำพิษ? หมอนวดพัทยาถูกเข้าใจผิดเป็นหญิงเขมรเสื้อชมพู ลั่นขอเอาผิดถึงที่สุด
หมอนวดพัทยาร้องขอความเป็นธรรม หลังถูกโยงคลิปหญิงเขมรเสื้อชมพูกลางปราสาทตาเมือนธม ยันไม่ใช่คนในคลิป พร้อมแจ้งความเอาผิดผู้โพสต์ภาพ-กล่าวหาเท็จ
จากกรณีที่กลายเป็นกระแสร้อนแรงในสังคมออนไลน์ เมื่อมีคลิปวิดีโอปรากฏภาพหญิงสาวสวมเสื้อสีชมพู พูดจาท้าทายนักท่องเที่ยวชาวไทยบริเวณ “ปราสาทตาเมือนธม” จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ติดชายแดนไทย-กัมพูชา โดยในคลิปมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเธอเป็นหญิงชาวกัมพูชาที่พยายามแสดงท่าทีไม่ให้เกียรติคนไทย รวมถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของไทย ส่งผลให้เกิดกระแสไม่พอใจและเป็นที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือดในโซเชียลมีเดีย
ในช่วงเวลาเพียงไม่นาน ได้มีเพจเฟซบุ๊กบางเพจ แชร์รูปของหญิงสาวอีกคนหนึ่ง พร้อมข้อความพาดพิงว่าเธอคือหญิงในคลิปดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นหมอนวดในพื้นที่พัทยา ซึ่งการกระทำดังกล่าวได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับหญิงสาวที่ถูกโยง ทั้งในแง่ชื่อเสียง หน้าที่การงาน และความเป็นอยู่ในสังคม
เปิดใจหมอนวดพัทยา วัย 24 ปี ถูกกล่าวหาว่าเป็นหญิงในคลิป — "รู้สึกแย่มาก ถูกโยงแบบไม่มีหลักฐาน"
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เพื่อพูดคุยกับหญิงสาวที่ถูกกล่าวหาในคลิปดังกล่าว โดยเธอใช้ชื่อสมมุติว่า “น.ส.เอ” อายุ 24 ปี มีอาชีพเป็นหมอนวดแผนไทยอยู่ในเขตเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี
เธอเล่าว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว วันหนึ่งมีคนรู้จักและลูกค้าหลายรายโทรมาหา ส่งข้อความมาถามว่า “ใช่คนในคลิปหรือไม่” ซึ่งเธอถึงกับตกใจเพราะตนไม่รู้เรื่องอะไรเลย และไม่เคยเดินทางไปยังพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ตามที่ปรากฏในข่าวมาก่อน
“ตอนแรกก็งงมากค่ะว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ ก็มีคนเอารูปของหนูไปแชร์ ไปพาดพิงว่าเป็นคนในคลิป หนูไม่ได้ทำอะไรผิดเลย และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุการณ์นั้น”
น.ส.เอ ยืนยันว่า ตนเป็นคนไทยโดยกำเนิด พูดภาษาไทยเป็นหลัก ไม่มีเชื้อสายกัมพูชา และไม่สามารถพูดหรือฟังภาษาเขมรได้แม้แต่นิดเดียว พร้อมนำบัตรประชาชนมายืนยันต่อผู้สื่อข่าวว่า เธอเป็นคนไทย 100% และเกิดที่จังหวัดนครราชสีมา
“หนูไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไรกับเหตุการณ์นั้นเลยค่ะ ยิ่งเห็นคนในคลิปยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเองแน่นอน หน้าก็ไม่เหมือนกันเลย รูปร่างก็คนละแบบ แต่กลับมีคนเชื่อไปแล้วว่าเป็นหนู ทั้งที่ไม่ได้ตรวจสอบอะไรเลย มันไม่ยุติธรรมจริงๆ”
สื่อโซเชียลเป็นพิษ โพสต์ข้อมูลเท็จจนเกิดความเสียหาย จนต้องแจ้งความเอาผิด
น.ส.เอ เผยเพิ่มเติมว่า หลังถูกโจมตีอย่างหนักในโลกโซเชียลจนได้รับความเสียหายด้านจิตใจและการงาน เธอจึงตัดสินใจเดินทางเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่นำภาพของเธอไปโพสต์กล่าวหาในทางที่ไม่เป็นความจริง รวมถึงผู้ที่เข้ามาคอมเมนต์ดูหมิ่นโดยไม่ตรวจสอบข้อมูลก่อน
เธอยังระบุว่า สามารถตามหาต้นตอของโพสต์ต้นเรื่องได้แล้ว โดยเป็นผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่นำภาพของเธอไปเผยแพร่ พร้อมข้อความที่บิดเบือนให้คนเข้าใจผิดว่าตนคือหญิงในคลิป พร้อมแนบภาพเปรียบเทียบ ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดให้กับสาธารณชน
“หนูไม่คิดว่าจะมีคนกล้าเอารูปคนอื่นไปกล่าวหาแบบนี้โดยไม่กลัวกฎหมายเลยค่ะ มันทำให้หนูเสียหายมากๆ บางคนที่ไม่รู้ความจริงก็มองหนูแย่ไปแล้ว ทั้งที่หนูไม่ได้เกี่ยวข้องเลย”
“หนูยอมไม่ได้ค่ะ ต้องแจ้งความเพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง และเพื่อไม่ให้ใครทำแบบนี้กับคนอื่นอีก”
โพสต์คลิป TikTok แสดงตัวตนชัดเจน — ยืนยัน "คนละคนจริงๆ"
นอกจากการแจ้งความดำเนินคดีทางกฎหมายแล้ว น.ส.เอ ยังได้โพสต์คลิปวิดีโอลงบน TikTok ส่วนตัว เพื่อชี้แจงว่าเธอไม่ใช่หญิงในคลิปดังกล่าว และเป็นคนไทย 100% พร้อมทั้งแสดงใบหน้าชัดเจน เพื่อเปรียบเทียบให้สาธารณชนเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
“ดูจากหน้าก็รู้แล้วค่ะว่าไม่ใช่ หนูโพสต์คลิปเปรียบเทียบให้ดูเลยว่า คนละคนแน่นอน อยากให้ทุกคนมีวิจารณญาณเวลาเสพข่าว ไม่ควรเชื่อทุกอย่างจากโซเชียลโดยไม่ตรวจสอบก่อน”
บทเรียนจากกรณี "หมอนวดพัทยาถูกโยงมั่ว" — พลังโซเชียลมีเดียที่อาจทำลายชีวิตคนได้ในพริบตา
กรณีของ น.ส.เอ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงด้านมืดของโลกออนไลน์และพลังของโซเชียลมีเดีย ที่เมื่อใช้โดยปราศจากวิจารณญาณ และขาดความรับผิดชอบ อาจทำลายชื่อเสียงและชีวิตของคนบริสุทธิ์ได้ในพริบตา
แม้โซเชียลมีเดียจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการแชร์ข้อมูลและสื่อสารอย่างรวดเร็ว แต่หากข้อมูลที่แชร์นั้นเป็นเท็จ หรือยังไม่ผ่านการตรวจสอบ ก็อาจกลายเป็นอาวุธที่สร้างความเสียหายร้ายแรงอย่างไม่อาจประเมินค่าได้
ผู้ใช้งานโซเชียลทุกคนควรตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนเอง โดยเฉพาะเพจข่าวหรือผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ควรใช้ความระมัดระวังในการนำเสนอข้อมูล และตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนเผยแพร่ เพราะเพียงโพสต์เดียวก็สามารถเปลี่ยนชีวิตของใครคนหนึ่งได้อย่างถาวร
สรุป
กรณีของหมอนวดพัทยาที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นหญิงในคลิป "หญิงกัมพูชาเสื้อชมพู" บริเวณปราสาทตาเมือนธม เป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงผลกระทบจากการเสพข่าวโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ผู้เสียหายได้ออกมายืนยันว่าเธอไม่ใช่คนในคลิป พร้อมดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้ที่โพสต์กล่าวหาและคอมเมนต์ในเชิงเสียหาย
นี่จึงเป็นอุทาหรณ์สำคัญที่ควรเตือนใจคนในสังคมให้รู้จักการเสพข่าวอย่างมีสติ และตระหนักถึงผลกระทบที่คำพูดหรือโพสต์เพียงไม่กี่บรรทัดบนโซเชียลมีเดีย อาจทำลายชีวิตใครบางคนได้อย่างไม่มีวันย้อนคืน



















