ศาลฎีกาทหารยืนตามเดิม! จำคุก 4 เดือน 16 วัน คดี "น้องเมย" แต่รอลงอาญา
คดี “น้องเมย” ถึงที่สุด: ศาลทหารฎีกาพิพากษายืน จำคุกแต่รอลงอาญา – คำถามคาใจสังคมยังไม่สิ้นสุด
กรุงเทพฯ – กรกฎาคม 2568
ผ่านมาแล้วกว่า 7 ปี กับเหตุการณ์ที่สังคมไทยยังคงจดจำและตั้งคำถามถึงความยุติธรรมอย่างลึกซึ้ง “คดีน้องเมย” หรือกรณีการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของ นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ภายหลังถูก “ซ่อม” หรือธำรงวินัยโดยรุ่นพี่ จนนำไปสู่การเสียชีวิตอย่างน่าสลด
ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ศาลทหารชั้นฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุด ยืนตามคำพิพากษาศาลทหารอุทธรณ์ ให้จำคุกผู้ต้องหาเป็นเวลา 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท แต่รอลงอาญาไว้ 2 ปี โดยให้เหตุผลว่า “การลงโทษจำเลยในสถานะปัจจุบันไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคมเท่ากับการให้โอกาสรับราชการรับใช้ชาติ”
แม้คำพิพากษานี้จะถือเป็นบทสรุปทางกฎหมายของคดีอันยืดเยื้อมากว่าครึ่งทศวรรษ แต่กระแสสังคมยังคงเคลื่อนไหว ด้วยคำถามที่ยังไร้คำตอบอย่างชัดเจน—“ความยุติธรรมคืออะไร?” และ “เราปกป้องลูกหลานในระบบทหารได้จริงหรือ?”
ย้อนรอยเหตุการณ์: วันที่ชีวิตเยาวชนดับลงในรั้วโรงเรียนเตรียมทหาร
ย้อนกลับไปในวันที่ 17 ตุลาคม 2560 เป็นวันแรกที่ “น้องเมย” หรือ นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ กลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร หลังลาออกไปก่อนหน้านี้เพียงไม่นานในขณะมีอาการเจ็บป่วย
ในช่วงสายของวันนั้นเอง เขาถูกนักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่ชั้นปีที่ 2 สั่งลงโทษด้วยวิธี “การซ่อม” ซึ่งเป็นคำแสลงในหมู่ทหาร หมายถึงการลงโทษทางร่างกายเพื่อธำรงวินัย เช่น การวิ่งตากแดด วิดพื้น หรือทำกิจกรรมที่กระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง
ไม่นานหลังจากนั้น น้องเมยหมดสติ และถูกนำตัวส่งห้องพยาบาลในโรงเรียน แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ โรงเรียนแจ้งครอบครัวในเบื้องต้นว่าเสียชีวิตด้วย “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน”
การเปิดโปงของครอบครัว: จากข้อสงสัยสู่ความจริงที่เจ็บปวด
ครอบครัวของน้องเมย โดยเฉพาะ นายพิเชษฐ ตัญกาญจน์ พ่อของผู้เสียชีวิต ปฏิเสธที่จะรับคำอธิบายอย่างผิวเผินนั้น และได้ดำเนินการชันสูตรศพเพิ่มเติมด้วยตนเอง
ผลการชันสูตรเผยข้อเท็จจริงที่สะเทือนใจไปทั่วประเทศ:
ซี่โครงซ้ายหัก
กระดูกไหปลาร้าหักทั้งสองข้าง
มีรอยช้ำขนาดใหญ่ในช่วงท้อง
ร่องรอยการกระแทกซ้ำหลายแห่ง
และที่สะเทือนใจที่สุด—อวัยวะภายในหายไปทั้งหมด โดยไม่มีการแจ้งครอบครัว
ข้อสงสัยเหล่านี้ทำให้คดีน้องเมยกลายเป็น “สัญลักษณ์แห่งคำถามต่อวัฒนธรรมอำนาจนิยมในกองทัพ” และนำไปสู่แรงกดดันมหาศาลจากสังคม เรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างโปร่งใสและเปิดเผย
กระบวนการยุติธรรมในศาลทหาร: คดีที่ยืดเยื้อกว่า 6 ปี
ในเดือนมีนาคม 2562 พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนให้อัยการทหาร มีการสั่งฟ้องผู้เกี่ยวข้อง 3 ราย ได้แก่
1. นักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่ 2 นาย – ข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
2. ว่าที่ร้อยตรี (ในขณะนั้น) – ข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
กระบวนการยุติธรรมของคดีนี้ดำเนินใน ศาลทหาร โดยที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและนักสิทธิมนุษยชนหลายฝ่ายออกมาแสดงความห่วงใยว่า กระบวนการที่ดำเนินภายใต้ระบบทหารอาจขาดความเป็นกลางและโปร่งใสเท่าที่ควร
ในที่สุด ปี 2566 ศาลทหารชั้นอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยมีความผิดตามฟ้องจริง แต่ลงโทษจำคุกเพียง 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท โดยรอลงอาญาไว้
และล่าสุด เดือนกรกฎาคม 2568 ศาลทหารฎีกาพิพากษายืนตามเดิม ถือเป็นคำพิพากษาถึงที่สุดในทางกฎหมาย
คำพิพากษาที่สังคมยังตั้งคำถาม
แม้คำพิพากษาดังกล่าวจะยึดหลักกฎหมายและพิจารณาจากเจตนาและประวัติของจำเลย ศาลให้เหตุผลว่า “การลงโทษจำเลยไปก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะยังเป็นเยาวชน ไม่เคยต้องโทษมาก่อน การให้โอกาสปรับปรุงตัวเพื่อรับราชการจะเกิดประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า”
แต่ในอีกมุมหนึ่ง—ครอบครัวผู้สูญเสียและประชาชนจำนวนมากยังตั้งคำถามว่า นี่คือ “ความยุติธรรมที่แท้จริง” แล้วหรือไม่?
การที่ผู้กระทำผิดจากการซ้อมผู้อื่นจนเสียชีวิต ได้รับโทษรอลงอาญาและกลับไปใช้ชีวิตราชการตามปกติ คือผลลัพธ์ที่เหมาะสมแล้วหรือ?
วัฒนธรรม “ซ่อม” ในระบบทหาร: ความรุนแรงที่ถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ
หนึ่งในประเด็นหลักที่คดีน้องเมยสะท้อนคือ วัฒนธรรมความรุนแรงในสถาบันทหาร โดยเฉพาะในระดับโรงเรียนเตรียมทหาร ที่การฝึกฝนวินัยและระเบียบวินัยมักแฝงมาด้วยการใช้อำนาจโดยไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน
การ “ซ่อม” หรือการลงโทษนอกกรอบกฎหมาย ถูกมองว่าเป็น “ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม” ที่หลายคนยอมรับในนามของการสร้างความแข็งแกร่งให้ทหาร แต่กรณีของน้องเมยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความรุนแรงเช่นนี้มีโอกาสทำให้ถึงแก่ชีวิตได้จริง และยากที่จะเรียกกลับคืน
บทเรียนจากคดีน้องเมย: จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
คดีน้องเมยไม่ได้เป็นเพียงคดีอาญาทั่วไป หากแต่เป็นกรณีตัวอย่างที่สะท้อนถึงหลายมิติของปัญหาในสังคมไทย ได้แก่:
1. ขาดระบบตรวจสอบในองค์กรทหาร: การที่คดีนี้ต้องใช้เวลากว่า 7 ปีกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด สะท้อนถึงความซับซ้อนและความยากในการตรวจสอบองค์กรปิดเช่นกองทัพ
2. ช่องโหว่ของศาลทหาร: ระบบยุติธรรมที่ดำเนินการภายในกลไกของทหารเอง ย่อมทำให้เกิดข้อกังขาเรื่องความเป็นกลาง
3. วัฒนธรรมการปกปิดข้อมูล: การไม่แจ้งครอบครัวเกี่ยวกับอวัยวะที่ถูกนำออก และสาเหตุการเสียชีวิตที่คลุมเครือ ทำให้ครอบครัวรู้สึกถูกลิดรอนสิทธิในการรับรู้
4. การลงโทษที่เบาเกินไปต่อการกระทำอุกฉกรรจ์: แม้จะเป็นผู้กระทำความผิดครั้งแรก แต่การที่โทษถูกลดลงจนเหลือเพียงการรอลงอาญา อาจไม่สะท้อนความร้ายแรงของเหตุการณ์
สรุป: ความยุติธรรมทางกฎหมายอาจสิ้นสุด แต่ความยุติธรรมในใจคนยังคงเดินทาง
คดีน้องเมยอาจจบลงในทางกฎหมายแล้วเมื่อศาลทหารฎีกาพิพากษาถึงที่สุด แต่คำถามที่ฝังลึกในใจของครอบครัวผู้สูญเสีย และประชาชนที่ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด ยังไม่จบ
คำว่า “ความยุติธรรม” ไม่ได้หมายถึงแค่ตัวบทกฎหมาย แต่หมายถึงความรู้สึกว่าถูกปกป้องและได้รับความเป็นธรรมในฐานะมนุษย์
และจนกว่าสังคมไทยจะสามารถสร้างระบบทหารที่ตรวจสอบได้ เปิดเผยได้ และเคารพในสิทธิมนุษยชนได้อย่างแท้จริง—คดีน้องเมย จะยังคงเป็นเงาสะท้อนที่เราต้องจดจำ และเรียนรู้ไปอีกนาน




















