เศรษฐกิจพังหนัก! แรงงานกัมพูชาหนีเข้าไทยทุกวัน ล่าสุดรวบเพิ่ม 4 ราย
ปฏิบัติการกลางดึกของทหารพรานอรัญประเทศ สกัด 4 แรงงานผิดกฎหมายชาวกัมพูชา: ผลพวงจากปัญหาเศรษฐกิจข้ามพรมแดน
สระแก้ว – 21 กรกฎาคม 2568
เมื่อคืนวันที่ 20 กรกฎาคม เวลาประมาณ 22.30 น. เจ้าหน้าที่ทหารพรานไทยจากกองร้อยทหารพรานที่ 1206 ได้สนธิกำลังเข้าตรวจสอบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยที่เดินเท้าลัดเลาะผ่านพื้นที่การเกษตร บริเวณหมู่บ้านกุดหิน หมู่ 4 ตำบลคลองน้ำใส อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ใกล้แนวชายแดนไทย–กัมพูชา ก่อนสามารถควบคุมตัวชาวกัมพูชาได้ 4 ราย เป็นชาย 3 หญิง 1 ขณะอีกหนึ่งคนที่เชื่อว่าเป็นผู้นำพาหลบหนีไปได้
ปฏิบัติการดังกล่าวได้รับคำสั่งโดยตรงจาก พ.อ.ชัยณรงค์ กาสี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ (ผบ.ฉก.อรัญประเทศ) หลังได้รับรายงานความเคลื่อนไหวผิดปกติในยามวิกาล ซึ่งมักเป็นช่วงเวลาที่เครือข่ายนำพาแรงงานผิดกฎหมายใช้ในการลักลอบผ่านพรมแดน
เส้นทางลับกลางไร่อ้อย กับความพยายามกลับไทยของแรงงานไร้ทางเลือก
จากคำให้การของผู้ถูกควบคุมตัว ซึ่งทั้งหมดเป็นชาวกัมพูชา มีเพียง 1 คนที่ถือหนังสือเดินทาง อีก 1 คนถือบอร์เดอร์พาส และอีก 2 คนไม่มีเอกสารใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งหมดเล่าว่าก่อนหน้านี้เคยทำงานอยู่ในพื้นที่อำเภออรัญประเทศ และตลาดโรงเกลือของไทย แต่ได้เดินทางกลับประเทศกัมพูชาเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังรัฐบาลกัมพูชาเปิดรับแรงงานกลับประเทศโดยสัญญาว่าจะมีการจัดหางานให้ทำ
แต่เมื่อกลับถึงบ้านเกิด สิ่งที่รออยู่กลับไม่ใช่โอกาสใหม่ตามที่ได้รับการชักชวน หากแต่เป็นความว่างเปล่าของเศรษฐกิจที่กำลังถดถอย ส่งผลให้หลายคนต้องหาทางกลับเข้ามาหางานในไทยอีกครั้ง แม้จะรู้ดีว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
หนึ่งในแรงงานหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสิ้นหวังว่า
“ตอนอยู่ไทย ทำงานรับจ้างเก็บพริก เก็บอ้อย ได้ค่าแรงทุกวัน กลับไปกัมพูชาไม่มีงาน ไม่มีเงิน ลูกก็ต้องกินข้าว ยังไงก็ต้องหาทางกลับมา”
ค่าใช้จ่าย 3,000 บาท กับความเสี่ยงที่อาจต้องจ่ายด้วยชีวิต
จากการสอบสวน เจ้าหน้าที่พบว่าแรงงานทั้ง 4 รายติดต่อ "ผู้นำพา" ผ่านเพื่อนชาวกัมพูชา โดยต้องจ่ายค่าเดินทางคนละ 3,000 บาท เพื่อให้พาเดินเท้าผ่านช่องทางธรรมชาติจากฝั่งกัมพูชา เข้าสู่ไทย โดยมีจุดหมายปลายทางคือย่านอำเภออรัญประเทศ ซึ่งมีตลาดแรงงานรองรับมากมายในภาคการเกษตรและค้าขาย
ผู้นำพาอาศัยความชำนาญพื้นที่และความมืดของยามค่ำคืน พากลุ่มแรงงานลักลอบเดินข้ามไร่อ้อยและพงหญ้าหลังหมู่บ้านกุดหิน แต่เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ ได้รีบหลบหนีไปทันที ปล่อยให้กลุ่มแรงงานถูกจับกุมโดยไม่มีผู้นำพาคอยดูแล
เจ้าหน้าที่ทหารพรานจึงควบคุมตัวชาวกัมพูชาทั้ง 4 ราย และส่งตัวให้พนักงานสอบสวนที่ สภ.คลองน้ำใส เพื่อดำเนินคดีในข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และตรวจสอบว่าอาจเข้าข่ายขบวนการค้ามนุษย์หรือไม่
บริบทชายแดน: ตลาดแรงงานที่ยังไม่สมดุล
อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ชายแดนที่มีการเคลื่อนไหวของแรงงานต่างด้าวมากที่สุดในประเทศไทย โดยเฉพาะจากประเทศกัมพูชา ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมกับชุมชนไทยตามแนวชายแดนมายาวนาน
แม้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไทยได้ปรับปรุงระบบการนำเข้าแรงงานต่างด้าวให้มีความถูกต้องมากขึ้น ผ่านระบบ MOU และศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงาน แต่ในทางปฏิบัติ แรงงานจำนวนมากยังคงเลือกใช้ช่องทางผิดกฎหมายเนื่องจากขาดทุนทรัพย์ ข้อมูล หรือไม่สามารถรอขั้นตอนทางราชการที่ล่าช้าได้
นอกจากนี้ยังมี “แรงผลัก” (Push Factor) จากฝั่งกัมพูชา เช่น การว่างงาน การไม่มีสวัสดิการ หรือแรงกดดันจากครอบครัว จึงทำให้แรงงานเหล่านี้ยินยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อกลับเข้ามาทำงานในไทย แม้ต้องเดินเท้าในป่าทึบ ท่ามกลางอากาศร้อนจัดและความเสี่ยงจากสัตว์ป่า หรือการถูกจับกุมก็ตาม
ขบวนการนำพาแรงงานผิดกฎหมาย: ปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก
การลักลอบเข้าเมืองไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มี “ขบวนการนำพา” ซึ่งมีการเชื่อมโยงกันทั้งในฝั่งกัมพูชาและไทย ผู้นำพาเหล่านี้มักเก็บค่าเดินทางจากแรงงานจำนวนหลายพันบาทต่อคน และใช้เส้นทางลับตามไร่ นา หรือพื้นที่รกร้างที่ยากต่อการสังเกตจากเจ้าหน้าที่
แม้เจ้าหน้าที่ทหารพราน และตำรวจตระเวนชายแดนจะมีมาตรการเข้มงวดในการลาดตระเวนและติดตั้งกล้องวงจรปิดในหลายพื้นที่ แต่ขบวนการเหล่านี้ยังคงหาช่องโหว่ใหม่อยู่เสมอ โดยเฉพาะช่วงกลางคืนหรือหลังฝนตกหนักที่ยากต่อการตรวจการณ์
การบังคับใช้กฎหมาย VS สิทธิมนุษยชน
แม้การจับกุมแรงงานผิดกฎหมายเป็นสิ่งจำเป็นในมิติด้านความมั่นคง แต่ในอีกมุมหนึ่ง เหตุการณ์เช่นนี้สะท้อนถึงปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีความลึกซึ้งมากกว่าการกระทำผิดเพียงอย่างเดียว
แรงงานหลายคนไม่ได้ต้องการเป็น "ผู้ลักลอบ" แต่ถูกสถานการณ์บีบบังคับ เมื่อไม่มีงาน ไม่มีรายได้ ไม่มีสวัสดิการ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับมาหางานทำที่ฝั่งไทย ซึ่งให้รายได้และโอกาสที่ดีกว่า แม้ต้องเสี่ยงถูกจับและส่งกลับประเทศ
แนวทางแก้ปัญหา: รัฐไทยและกัมพูชาต้องร่วมมือเชิงรุก
การจับกุมเพียงอย่างเดียวไม่สามารถหยุดปัญหาการลักลอบเข้าเมืองได้ หากไม่มีการแก้ไขในเชิงระบบ และความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชาในระดับนโยบาย โดยเฉพาะในเรื่องต่อไปนี้:
1. เร่งรัดระบบจดทะเบียนแรงงานอย่างถูกกฎหมาย (MOU) ให้สะดวกและเข้าถึงง่าย โดยเฉพาะกับแรงงานที่เคยทำงานอยู่ก่อนแล้ว
2. เสริมสร้างความรู้ด้านกฎหมายแรงงาน และขั้นตอนการเข้าประเทศให้กับแรงงานในพื้นที่ชายแดน
3. ดำเนินคดีอย่างจริงจังกับผู้นำพาแรงงานผิดกฎหมาย เพื่อสกัดเครือข่ายที่หากินกับความยากจนของผู้อื่น
4. สนับสนุนการพัฒนาอาชีพและเศรษฐกิจในฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้ชายแดน เพื่อให้ประชาชนไม่ต้องดิ้นรนเข้ามาทำงานในไทยด้วยความเสี่ยง
บทสรุป: เมื่อคนต้องเลือกชีวิตเหนือกฎหมาย
เหตุการณ์นี้อาจเป็นเพียงอีกหนึ่งในหลายร้อยคดีที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนทุกปี แต่เบื้องหลังของมันคือเสียงสะท้อนจากแรงงานไร้ทางเลือก ที่แค่ต้องการ “งาน” เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว
การแก้ปัญหาลักลอบเข้าเมืองต้องไม่มองเพียงแค่ “การกระทำผิด” แต่ต้องมองเห็น “เหตุผลที่คนทำผิด” และต้องมีนโยบายที่ตอบสนองต่อทั้งสองด้าน – ด้านความมั่นคง และด้านมนุษยธรรม
ในเมื่อปากท้องคือความอยู่รอด และชีวิตต้องดำเนินต่อ แรงงานไร้เอกสารจำนวนไม่น้อยก็อาจยังคงเลือกที่จะเดินผ่านป่า ข้ามไร่อ้อย และเสี่ยงกับอำนาจรัฐ – เพียงเพื่อหาโอกาสที่เขาไม่มีในบ้านเกิดของตัวเอง















