เดือดชายแดน! ลุงชกทหารเขมร – กัน จอมพลังรีบช่วยค่าปรับ 5 พัน พร้อมส่งกำลังใจ
"กัน จอมพลัง" ช่วยจ่ายค่าปรับกรณีชกหน้าทหารกัมพูชา: จุดเปลี่ยนในความขัดแย้งพื้นที่พิพาทปราสาทตาเมือนธม?
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โลกโซเชียลมีเดียไทยต่างพูดถึงประเด็นร้อนที่ผสมผสานทั้งอารมณ์ชาตินิยมและความขัดแย้งระดับชายแดน เมื่อเพจเฟซบุ๊กชื่อดังอย่าง “กัน จอมพลัง” ได้ออกมาโพสต์ข้อความพร้อมภาพประกาศว่า ตนเองได้ช่วยจ่ายค่าปรับแทนชายไทย 2 คน ที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษปรับคนละ 2,500 บาท กรณีชกหน้าทหารกัมพูชาบริเวณ "ปราสาทตาเมือนธม" ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนที่มีข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชามาอย่างยาวนาน
แม้เจ้าตัวจะประกาศอย่างชัดเจนว่า “ไม่สนับสนุนความรุนแรง” แต่การกระทำของเขาก็ส่งผลสะเทือนในหลายมิติ ทั้งในด้านสังคม ความมั่นคง และการเมืองชายแดน โดยเฉพาะคำกล่าวที่ว่า "สิ่งที่ทั้งสองคนทำมันมีประโยชน์อย่างนึง คือทำให้เห็นว่าอำนาจของศาลไทยครอบคลุมปราสาทตาเมือนธม" ได้จุดประกายการถกเถียงอย่างร้อนแรงว่าแท้จริงแล้ว พื้นที่แห่งนี้เป็นของใคร?
เหตุการณ์: จากการเที่ยวชม สู่การปะทะ
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 เมื่อชายไทย 2 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีประวัติเป็น อดีตทหารพราน ได้เดินทางไปที่บริเวณ "ปราสาทตาเมือนธม" ซึ่งตั้งอยู่ในเขตชายแดนอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ชายแดนไทย-กัมพูชา และเกิดเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่ทหารของฝ่ายกัมพูชา
ชายไทยคนหนึ่งแต่งกายคล้ายเครื่องแบบทหารพราน ส่วนอีกคนแต่งตัวธรรมดา โดยทั้งคู่ได้ ชกหน้าทหารกัมพูชา ที่ประจำการอยู่ในบริเวณดังกล่าวจนได้รับบาดเจ็บ จากนั้นพยายามหลบหนีแต่ถูกควบคุมตัวไว้ได้ โดยเจ้าหน้าที่ฝั่งไทยได้จับกุมและนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.พนมดงรัก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
คำพิพากษา: รอลงอาญา – ปรับคนละ 2,500 บาท
หลังจากผ่านกระบวนการพิจารณาคดี ศาลแขวงจังหวัดสุรินทร์ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ว่าทั้งสองมีความผิดตามกฎหมาย แต่เนื่องจากเป็นความผิดครั้งแรก และไม่ได้มีการใช้ความรุนแรงต่อเนื่อง จึงมีคำสั่ง รอลงอาญา และให้ ปรับคนละ 2,500 บาท รวมเป็นเงิน 5,000 บาท
กรณีนี้น่าจะเงียบไปเหมือนคดีทำร้ายร่างกายทั่วไป หากไม่ใช่เพราะการเข้ามามีบทบาทของ "กัน จอมพลัง" ซึ่งได้ประกาศอย่างชัดเจนในโพสต์ว่า ตนเป็นผู้จ่ายค่าปรับแทนทั้งสองคน โดยมีเจตนาเพียงต้องการให้เรื่องจบและไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง แต่ขณะเดียวกันก็แฝงด้วย ข้อความที่กระตุ้นความรู้สึกชาตินิยม อย่างรุนแรง เช่น “อย่างน้อย ก็ได้รู้ว่า ปราสาทตาเมือนธมเป็นของไทยแน่นอน”
กัน จอมพลัง คือใคร?
สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นชื่อ “กัน จอมพลัง” หรือชื่อจริงว่า กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมและยูทูบเบอร์สายช่วยเหลือผู้เดือดร้อน โดยมักจะออกภาคสนามไลฟ์สด ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว เหยื่อคดีหลอกลวง หรือผู้ตกทุกข์ได้ยากต่าง ๆ จนมีผู้ติดตามจำนวนมากในโซเชียล
เขาถือว่าเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในโลกออนไลน์ และมักเข้าไปเกี่ยวข้องในคดีหรือเหตุการณ์ที่ประชาชนให้ความสนใจ ทำให้ทุกครั้งที่เขาแสดงความเห็น มักจะได้รับการพูดถึงอย่างแพร่หลาย
พื้นที่พิพาท: ปราสาทตาเมือนธม กับข้อพิพาทไทย-กัมพูชา
ปราสาทตาเมือนธม (Ta Muen Thom Temple) เป็นหนึ่งในกลุ่มปราสาทหินโบราณที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างไทยและกัมพูชา
แม้ปัจจุบันตัวปราสาทจะอยู่ในพื้นที่ที่ทหารกัมพูชาเข้าไปประจำการ แต่ประเทศไทยยังยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตของไทย โดยอ้างอิงจากแนวเขตพิกัด และหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายฉบับ รวมถึงแผนที่จากยุคสมัยฝรั่งเศสเป็นเจ้าอาณานิคม
ความขัดแย้งนี้มีความคล้ายคลึงกับกรณี “ปราสาทพระวิหาร” ที่เคยเป็นข้อพิพาทระดับนานาชาติ ซึ่งจบลงด้วยคำตัดสินของศาลโลกในปี 2505 ว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ไม่ได้ชี้ชัดว่า “บริเวณโดยรอบ” เป็นของใคร ซึ่งนำไปสู่การเผชิญหน้าหลายครั้งระหว่างทหารทั้งสองประเทศ
เสียงสะท้อนในสังคม: เห็นด้วยหรือไม่?
หลังจากที่กัน จอมพลัง ออกมาโพสต์ข้อความดังกล่าว ชาวเน็ตก็แบ่งเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน:
1. ฝ่ายที่สนับสนุน – มองว่ากัน จอมพลังทำในสิ่งที่ “กล้าหาญ” และเป็นตัวแทนของประชาชนที่ไม่พอใจการเข้ามาครอบครองของทหารต่างชาติในพื้นที่ซึ่งยังไม่มีข้อยุติที่ชัดเจน
2. ฝ่ายที่วิจารณ์ – มองว่า การชกหน้าทหารประเทศเพื่อนบ้านเป็นการใช้ความรุนแรงที่ไม่สมควร และอาจนำไปสู่ความตึงเครียดระดับรัฐต่อรัฐ การที่กันจอมพลังช่วยเหลือผู้กระทำผิดในกรณีนี้ จึงอาจเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมไม่เหมาะสมโดยไม่ตั้งใจ
การเมืองกับพื้นที่พิพาท: ประเด็นที่ไม่อาจมองข้าม
ประเด็นเรื่องอธิปไตยเหนือพื้นที่ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กลับเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์ภายในประเทศกำลังเปราะบาง หรืออยู่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
เหตุการณ์ที่ชายไทยไปชกทหารกัมพูชาแม้จะเกิดจากความรู้สึกส่วนตัวหรือชั่ววูบ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนบางส่วนยังคงมีความรู้สึกอ่อนไหวและไม่พอใจต่อข้อพิพาทที่ยังไม่คลี่คลาย
สรุป: เหตุการณ์เล็ก ๆ ที่จุดกระแสใหญ่
แม้เหตุการณ์นี้จะเริ่มจากคดีความเล็ก ๆ และการช่วยเหลือค่าปรับเพียง 5,000 บาท แต่ผลสะเทือนที่ตามมานั้นลึกและกว้างไกลกว่าที่หลายคนคาดคิด
คำถามสำคัญที่ยังค้างคาใจ คือ การที่ศาลไทยมีอำนาจพิจารณาคดีในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ปราสาทตาเมือนธมนั้น เป็นการตอกย้ำว่า พื้นที่แห่งนี้อยู่ภายใต้อำนาจของไทยจริงหรือไม่? และหากเป็นเช่นนั้น ทำไมยังมีทหารกัมพูชาประจำการอยู่ในพื้นที่?
ในขณะที่คำตอบทางกฎหมายและทางประวัติศาสตร์อาจยังไม่ชัดเจน แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดจากเหตุการณ์นี้คือ “พรมแดนในใจของคนไทยบางคน” ยังคงเชื่อมั่นว่าปราสาทตาเมือนธมคือแผ่นดินไทย – และพร้อมจะยืนยันจุดยืนนี้แม้ต้องเผชิญกับความขัดแย้งก็ตาม
หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาเชิดชูความรุนแรง แต่ต้องการนำเสนอข้อเท็จจริงพร้อมบริบท เพื่อเปิดพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์ต่อปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา














