ย้อนคำตัดพ้อ “เสี่ยอู๊ด” 56 ล้านหนุนวัด สุดท้ายถูกเมิน ก่อนชีวิตพลิกติดคุก
เปิดปม “เสี่ยอู๊ด สิทธิกร” เศรษฐีนักสร้างพระ กับคำถามที่ยังไร้คำตอบ...เมื่อผู้ให้ถูกลืม
กลายเป็นประเด็นร้อนที่กลับมาเป็นกระแสในโลกออนไลน์อีกครั้ง สำหรับกรณีของ “เสี่ยอู๊ด” หรือ สิทธิกร บุญฉิม อดีตนักธุรกิจและนักอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกยกย่องว่าเป็นบุคคลผู้ให้การสนับสนุนวงการพระพุทธศาสนาอย่างมากมายมหาศาล แต่กลับต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558
ประเด็นกลับมาร้อนอีกครั้งหลังจากมีการขุดข้อความเก่าในโซเชียลมีเดีย ที่เสี่ยอู๊ดเคยระบายความรู้สึกเจ็บลึกจากเหตุการณ์ในอดีต โดยเฉพาะเรื่องความไม่จริงใจของบุคคลในแวดวงสงฆ์ที่เขาเคยช่วยเหลือ จนชาวเน็ตตั้งคำถามว่า เรื่องนี้อาจไม่ใช่แค่ความผิดพลาดส่วนบุคคลของเสี่ยอู๊ด แต่เป็นเรื่องสะเทือนใจของผู้ให้ ที่สุดท้ายต้องถูกทอดทิ้ง
เสี่ยผู้ให้กับเงินบริจาคกว่า 3,000 ล้าน
สิทธิกร บุญฉิม หรือ “เสี่ยอู๊ด” มีจุดเริ่มต้นชีวิตจากเด็กกำพร้า ฐานะยากจน มีวุฒิการศึกษาเพียง ม.3 แต่สามารถสร้างตัวจากธุรกิจจนกลายเป็นมหาเศรษฐี และนำเงินที่หามาได้ใช้ในการทำบุญ สร้างประโยชน์ให้กับสังคมจำนวนมาก
ข้อมูลจากจดหมายลาตายของเสี่ยอู๊ด ระบุชัดเจนว่า เขาภูมิใจที่สุดที่สามารถนำเงินที่มีไปสนับสนุนสังคมและประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นวัด โรงเรียน โรงพยาบาล มหาวิทยาลัยสงฆ์ องค์กรการกุศล และการอุปการะเด็กยากไร้ ซึ่งรวมมูลค่าทรัพย์สินและเงินที่ใช้ทำบุญไว้มากกว่า 3,000 ล้านบาท ทั่วประเทศ ทั้งที่คนรู้และไม่รู้
แต่ถึงจะให้มากขนาดนั้น กลับกลายเป็นว่าเมื่อวันหนึ่งเสี่ยอู๊ดตกเป็นผู้ต้องหา และต้องโทษจำคุกในปี 2551 จากคดีจำหน่ายพระเครื่องโดยหลอกลวงประชาชน เป็นเหตุให้ศาลพิพากษาจำคุก 5 ปี ทุกอย่างที่เขาเคยอุทิศ กลับถูกลืมสิ้น
56 ล้านบาท และความเงียบงันจากผู้เคยรับ
หนึ่งในประเด็นที่สร้างแรงสะเทือนใจให้กับผู้ที่ติดตามข่าวนี้ คือการเปิดเผยว่า เสี่ยอู๊ดเคยมอบเงินรวมกว่า 56 ล้านบาท เพื่อสร้างอาคารอำนวยการของวิทยาลัยสงฆ์ในจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง และช่วยสร้างพุทธอุทยาน แต่เมื่อเขาต้องโทษในเรือนจำ กลับไม่มีการติดต่อหรือให้ความช่วยเหลือใด ๆ จากบุคคลในวงการสงฆ์เลยแม้แต่น้อย
แม้แต่เมื่อเขาพ้นโทษและได้กลับไปยังสถานที่ที่ตนเองเคยอุปถัมภ์ พระและคณะสงฆ์ที่เคยเอาใจในวันที่ขอเงิน กลับเปลี่ยนท่าที ไม่ต้อนรับ ไม่ทักทาย และดูเหมือนจะลืมสิ้นว่าเคยได้รับความช่วยเหลือจากชายผู้นี้มากเพียงใด
“หมดประโยชน์ จึงหมดค่า?”
ข้อความที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์ ซึ่งระบุว่าเป็นคำพูดของเสี่ยอู๊ดเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน มีประโยคหนึ่งที่สะเทือนใจเป็นอย่างยิ่งว่า:
“8 ปีแล้วที่ตนต้องเข้าคุก พระผู้ใหญ่ในจังหวัดไม่ยอมพบหน้าตน ไม่ยอมเจอ ไม่เหมือนสมัยที่ขอเงินจากตน เพราะในสายตาของท่านเห็นตนหมดประโยชน์ เป็นคนไม่ดี ไม่น่าสมาคมแล้ว”
นี่อาจสะท้อนถึงวัฒนธรรม “ใช้แล้วทิ้ง” ในมิติที่ลึกซึ้งที่สุดสำหรับผู้ที่เคยเป็น “ผู้ให้” และ “ผู้สนับสนุนหลัก” ของวงการศาสนา แต่ต้องกลับมาถามตัวเองว่า สิ่งที่ให้ไปนั้น...ยังเหลือคุณค่าหรือไม่ในสายตาของคนอื่น?
ชาวเน็ตตั้งคำถาม: ทำไมถึงเงียบ?
ในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเพจเฟซบุ๊กอย่าง “ดาวแปดแฉก” ได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาอีกครั้ง โดยตั้งคำถามเชิงสันนิษฐานว่า วิทยาลัยสงฆ์ใน จ.นครสวรรค์ ที่เพิ่งตกเป็นข่าวเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือปัญหาภายในนั้น อาจเป็นสถานที่เดียวกับที่เสี่ยอู๊ดเคยกล่าวถึงหรือไม่?
...เพจถึงขั้นวิงวอนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บ้านแก้ว จากหน่วยสอบสวนกลาง เข้ามาตรวจสอบความจริงในเรื่องนี้ให้ชัดเจน เพื่อถือเป็นการทำบุญให้กับผู้วายชนม์อย่างเสี่ยอู๊ด ซึ่งแม้เขาจะเสียชีวิตไปเกือบ 10 ปีแล้ว แต่คำถามและความเจ็บปวดที่เขาทิ้งไว้ ยังไม่มีใครให้คำตอบ
เมื่อ “ศรัทธา” ถูกใช้เป็นเครื่องมือ
เรื่องนี้ยังสะท้อนอีกประเด็นใหญ่ของวงการพระพุทธศาสนา นั่นคือ “การใช้ศรัทธา” ของผู้คนเพื่อหวังผลประโยชน์ โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่เป็นนักบุญผู้มีทรัพย์ ไม่ต่างอะไรกับการขายภาพลักษณ์ศาสนาเพียงเพื่อต้องการเงินบริจาค แต่เมื่อคนเหล่านั้นหมดทรัพย์ หมดอำนาจ หรือกลายเป็นคนที่มีภาพลักษณ์เสียหาย ก็ถูกลืมเหมือนไม่เคยมีตัวตน
นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเสี่ยอู๊ดคนเดียวอีกต่อไป แต่มันคือ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่หลายคนอาจเคยเจอ หรืออย่างน้อยก็เคยเห็นผ่านตา
สิ่งที่น่าคิด: ผู้ให้ต้องรับกรรม?
ในจดหมายที่เสี่ยอู๊ดเขียนไว้ก่อนเสียชีวิต เขากล่าวถึงความเสียใจว่า ถึงแม้จะหาเงินมาได้มากมาย แต่กลับไม่เคยเก็บไว้ใช้เอง ไม่เคยใช้สร้างฐานะ ไม่เคยช่วยครอบครัว แต่กลับทุ่มเททั้งหมดให้กับสาธารณะ จนตนเองต้องเดือดร้อนในบั้นปลายชีวิต
ข้อความหนึ่งที่น่าหยิบมาทบทวนคือ:
“ผลตอบแทนกลับมาให้เสื่อมเสีย ไม่มีความดีและความจริงจากผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือไป… จะเป็นจริงอย่างถาวร ดี ชั่ว ถูก ผิด ยึดติดใครไม่ได้”
นี่คือประโยคสุดท้ายที่อาจเรียกได้ว่าเป็น คำเตือนจากผู้ล่วงลับ ว่าในโลกใบนี้ ศรัทธา ความดี หรือแม้แต่เงินทอง อาจไม่สามารถรับประกันได้ว่า เราจะได้รับความยุติธรรมและความจริงใจกลับมาในยามลำบาก
บทสรุป: ศรัทธา หรือ ความจริง?
เรื่องราวของ “เสี่ยอู๊ด” เป็นบทเรียนอันล้ำค่า ไม่เพียงแต่ในแง่ของบุคคลผู้ให้ที่ถูกลืม แต่ยังสะท้อนถึงความเปราะบางของ “วงการศาสนา” ที่หลายครั้งอาจยึดโยงกับผลประโยชน์มากกว่าจิตวิญญาณแท้จริง
ในวันที่ศรัทธาถูกสั่นคลอน และคนในสังคมเริ่มกลับมาตั้งคำถามกับระบบศาสนา เราอาจต้องย้อนมาดูให้ลึกกว่าภาพภายนอก เพราะบางครั้ง “ผู้สร้างพระ” อาจไม่ได้รับพระธรรมปกป้องอย่างที่ควรจะเป็น
และบางที...คำถามที่เสี่ยอู๊ดเคยตั้งไว้ในใจ อาจยังคงรอคำตอบจากสังคมอยู่จนถึงทุกวันนี้















