ศทช. ประณามเหตุวางทุ่นระเบิดชายแดนไทย-กัมพูชา
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติแถลงการณ์ด่วน! ลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทย-กัมพูชา บาดเจ็บ 3 นาย วอนกัมพูชาแสดงความรับผิดชอบตามอนุสัญญาออตตาวา
วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความตระหนกและกังวลใจแก่หน่วยงานความมั่นคงและสังคมไทยโดยรวม เมื่อมีรายงานการลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในเขตพื้นที่ชายแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา บริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่อธิปไตยของประเทศไทย
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเจ้าหน้าที่ทหารไทยที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ โดยมีทหารบาดเจ็บจำนวน 3 นาย หนึ่งในนั้นอาการสาหัสจนถึงขั้นสูญเสียอวัยวะและกลายเป็นผู้พิการถาวร สร้างความสะเทือนใจและกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนระหว่างประเทศ ซึ่งควรเป็นพื้นที่แห่งความร่วมมือ มิใช่สนามกับดักของความขัดแย้ง
ตรวจพบ "ทุ่นระเบิดชนิดใหม่" ไม่ใช่ของกองทัพไทย – แสดงเจตนาก่ออันตราย
จากการเข้าตรวจสอบพื้นที่โดยผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าทุ่นระเบิดที่ใช้เป็น “ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิดใหม่” ซึ่งไม่ใช่ยุทโธปกรณ์ของกองทัพไทยอย่างชัดเจน และมีการจัดวางอย่างเป็นระบบในลักษณะของ “สนามทุ่นระเบิด” กระจายอยู่หลายจุดตามแนวชายแดนในพื้นที่อธิปไตยของไทย
การออกแบบและวางทุ่นระเบิดดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเจตนาชัดเจนในการก่ออันตรายต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจ ไม่เว้นแม้แต่ประชาชนในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งอาจเดินทางผ่านพื้นที่โดยไม่รู้ตัว นับเป็นภัยร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของพลเมืองอย่างมีนัยสำคัญ
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติแสดงจุดยืนชัดเจน – ขอประณามอย่างรุนแรงภายหลังเกิดเหตุ ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของประเทศไทยด้านการปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ได้ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ พร้อมทั้งขอประณามการกระทำอันป่าเถื่อนและไร้มนุษยธรรมดังกล่าวอย่างรุนแรง
แถลงการณ์ระบุว่า การกระทำเช่นนี้อาจเข้าข่ายละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Ottawa Convention หรือ Mine Ban Treaty) ซึ่งทั้งประเทศไทยและประเทศกัมพูชาเป็นรัฐภาคีร่วมกันมาอย่างยาวนาน โดยอนุสัญญาฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทุกรูปแบบ และส่งเสริมความร่วมมือในการเก็บกู้ ทำลาย และฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
วอนกัมพูชา “รับผิดชอบอย่างชัดเจน” – ต้องสอบสวนและหยุดขัดขวางภารกิจด้านมนุษยธรรม
นอกจากการประณามแล้ว ศทช. ยังได้เรียกร้องอย่างเป็นทางการให้รัฐบาลกัมพูชาแสดงความรับผิดชอบอย่างเป็นรูปธรรมต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยต้องเร่งดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงในเชิงลึก ตรวจสอบที่มาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางทุ่นระเบิด พร้อมทั้งดำเนินมาตรการทางกฎหมายกับผู้กระทำความผิด
ยิ่งไปกว่านั้น ศทช. ยังเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาหยุดการขัดขวางภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดของฝ่ายไทยตามแนวชายแดน และให้ความร่วมมืออย่างจริงจังในด้านการปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรม ทั้งการร่วมหารือ การวางแผนปฏิบัติร่วม และการแบ่งปันข้อมูล เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนของทั้งสองประเทศ
ความร่วมมือข้ามพรมแดน: ความหวังสู่อนาคต
แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นภาพสะท้อนของความขัดแย้งที่ยังคงแฝงตัวอยู่ตามแนวชายแดน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความร่วมมือระหว่างรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวานั้นมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความมั่นคงร่วมกันในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งมีประวัติศาสตร์ร่วมกันทั้งด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคม
ทั้งสองประเทศได้ลงนามเป็นภาคีของอนุสัญญาฉบับนี้มานานหลายปี และมีความก้าวหน้าในการดำเนินการเก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดที่ตกค้างในอดีต อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ล่าสุดกลับสะท้อนให้เห็นว่า ยังมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยที่ต้องเฝ้าระวังและจัดการอย่างเป็นระบบ
เสียงจากประชาชน: ความปลอดภัยไม่ใช่เรื่องต่อรอง
ภายหลังการเผยแพร่แถลงการณ์ของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ประชาชนจำนวนมากได้แสดงความเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีทั้งเสียงสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ และการตั้งคำถามถึงมาตรการป้องกันของทั้งสองประเทศในระยะยาว
ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงเหตุการณ์ โดยเฉพาะชาวบ้านในอำเภอน้ำยืน ต่างแสดงความกังวลต่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว โดยระบุว่าพื้นที่บางส่วนยังคงมีความเสี่ยงจากวัตถุระเบิดตกค้าง และการวางทุ่นระเบิดซ้ำในพื้นที่ยิ่งเพิ่มความน่ากลัว ทำให้พวกเขารู้สึกไม่มั่นคงแม้จะอยู่ในพื้นที่ชายแดนของประเทศตนเอง
ก้าวต่อไปของไทย: เดินหน้าปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคอีสาน รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานเก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศปลอดภัยจากภัยคุกคามเหล่านี้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานระดับชาติ รวมถึงร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศในการดำเนินโครงการต่าง ๆ อาทิ การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เก็บกู้ การให้ความรู้แก่ชุมชนในพื้นที่เสี่ยง และการฟื้นฟูพื้นที่หลังการเก็บกู้ เพื่อสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ
บทสรุป: การไม่เพิกเฉยคือหนทางสู่ความมั่นคงร่วม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาเชิงยุทธศาสตร์หรือความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนเท่านั้น หากแต่เป็นปัญหาที่กระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนทั่วไป และท้าทายต่อพันธกิจของทุกประเทศที่ร่วมลงนามในอนุสัญญาออตตาวา
การดำเนินมาตรการที่ชัดเจน โปร่งใส และร่วมมือกันอย่างจริงจังระหว่างไทยกับกัมพูชา จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เพื่อวางรากฐานสันติภาพระยะยาวที่ประชาชนทั้งสองฝั่งชายแดนสามารถร่วมกันภาคภูมิใจ




















