จบไม่สวย! “หมอเกศ” โดนฟันอาญา คุก 10 ปี–ตัดสิทธิ์ 20 ปี ปมใช้วุฒิปลอม
มติเด็ดขาดจาก กกต.! ฟันอาญา "หมอเกศ" ปมใช้คำว่า "ศาสตราจารย์" ลงสมัคร ส.ว. โทษหนัก จำคุก 10 ปี-ตัดสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี "ทนายอั้น" เดินเกมดันคดีถึงศาลฎีกาภายใน 25 ก.ค.นี้
วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 สถานการณ์การเมืองไทยร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติชัดเจนให้ดำเนินคดีอาญากับ พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย หรือที่สังคมรู้จักกันในนาม "หมอเกศ" ว่าที่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) คนดัง หลังพบหลักฐานชัดเจนว่า มีการนำคำว่า “ศาสตราจารย์” ไปใช้ประกอบการสมัครรับการสรรหาเป็น ส.ว. ทั้งที่ไม่ผ่านกระบวนการแต่งตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของสำนักงาน ก.พ.อ. หรือหน่วยงานที่มีอำนาจรับรองตำแหน่งวิชาการดังกล่าว
มติดังกล่าวของ กกต. ระบุชัดเจนว่า การกระทำของ พญ.เกศกมล เข้าข่ายความผิดตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา และมีน้ำหนักเพียงพอให้ดำเนินคดีอาญา ซึ่งรวมถึงการลงโทษจำคุก สูงสุดถึง 10 ปี พร้อมกับ ตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปีเต็ม ทั้งในฐานะผู้สมัครและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
เปิดเบื้องหลังมติ กกต. กับความเคลื่อนไหวของ "ทนายอั้น"
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการร้องเรียนครั้งสำคัญนี้คือ นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือที่รู้จักกันในนาม "ทนายอั้น" ทนายความจากจังหวัดบุรีรัมย์ ผู้เคยผ่านการต่อสู้ทางคดีที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้ง โดยเขาเปิดเผยว่า ได้รับหนังสือคำวินิจฉัยของ กกต. เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ซึ่งชี้ชัดว่า พญ.เกศกมล มีพฤติการณ์แสดงข้อความเท็จเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อในการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา
“ผมขอประกาศตรงนี้เลยว่า มันหมดเวลาของเธอแล้ว! คำวินิจฉัยมาถึงมือผมเรียบร้อย และในฐานะผู้ร้อง ผมเห็นชัดเจนว่าไม่มีข้อโต้แย้งอีกต่อไป” — ทนายภัทรพงศ์ กล่าวอย่างเคร่งขรึม
ทนายอั้นยังกล่าวต่อว่า เดิมทีในเอกสารการสมัครรับเลือกเป็น ส.ว. ของหมอเกศนั้น มีการพยายามจะใช้คุณวุฒิระดับปริญญาเอกเพื่อเสริมภาพลักษณ์ให้ตัวเอง แต่ภายหลังจากที่ถูกตั้งข้อสังเกตและมีการตรวจสอบ จึงเปลี่ยนไปใช้คำว่า “ศาสตราจารย์” แทน โดยหวังให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้นในสายตาคณะกรรมการคัดเลือก
ทว่า การใช้คำดังกล่าวโดยไม่มีหลักฐานหรือหนังสือแต่งตั้งจากหน่วยงานที่มีอำนาจรับรอง ถือว่า เข้าข่ายหลอกลวงประชาชน และ มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งเป็นความผิดตามมาตราในกฎหมายเลือกตั้งอย่างชัดเจน
ขีดเส้นตาย กกต. ต้องยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาภายใน 25 ก.ค.นี้
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ทนายอั้นย้ำกับสื่อมวลชน คือ การเรียกร้องให้ กกต.เร่งรัดส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนการของศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง ภายในวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นกรอบเวลาตามระเบียบที่สามารถนำคดีไปสู่การพิจารณาได้โดยไม่ชักช้า
“ผมได้รับหนังสือคำวินิจฉัยตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา และมั่นใจว่าไม่มีเหตุผลใดที่ กกต. จะต้องดึงเรื่องไว้อีกแล้ว ทุกอย่างชัดเจน ขอให้ส่งเรื่องถึงศาลฎีกาโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้าที่อาจกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม” — ทนายภัทรพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ หาก กกต.สามารถยื่นเรื่องต่อศาลได้ทันตามกำหนด ก็จะเป็นกรณีตัวอย่างสำคัญของการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการแอบอ้างตำแหน่งทางวิชาการในการเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้งอย่างจริงจังและไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวล
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย: การแอบอ้างตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” ผิดอย่างไร?
การใช้ตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” อย่างไม่ถูกต้องไม่ใช่เพียงการกระทำผิดทางจริยธรรมเท่านั้น แต่ยัง เข้าข่ายความผิดอาญา โดยเฉพาะเมื่อมีเจตนาใช้เพื่อให้ตนเองได้มาซึ่งตำแหน่งทางการเมือง
ภายใต้กฎหมายการเลือกตั้ง การแสดงข้อมูลเท็จหรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จในการสมัครรับเลือกตั้ง เป็นความผิดที่มีโทษหนักถึง จำคุก 10 ปี พร้อมกับ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เป็นระยะเวลา 20 ปี นับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
โดยเฉพาะในกรณีของการใช้คำว่า “ศาสตราจารย์” นั้น ถือว่าเป็นการหลอกลวงต่อคณะกรรมการคัดเลือกและประชาชนทั่วไปที่เข้าร่วมกระบวนการสรรหา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเลือก ส.ว. ที่ต้องอาศัย “คุณสมบัติ” และ “ความน่าเชื่อถือ” ของผู้สมัคร
นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวยังอาจมีผลกระทบในแง่ของ “การทุจริตเชิงระบบ” และทำให้กระบวนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและยุติธรรมในสายตาสาธารณชน
เสียงสะท้อนจากสังคม: ความหวังในการฟื้นฟูความโปร่งใสของวุฒิสภา
ภายหลังจากที่ข่าวการฟันคดีอาญาต่อ พญ.เกศกมล ถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง สื่อสังคมออนไลน์ต่างแสดงความเห็นหลากหลาย หลายคนรู้สึกว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของการ เรียกความเชื่อมั่นกลับคืนสู่ระบบวุฒิสภาไทย ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
บางคนเห็นว่า การลงโทษอย่างจริงจังต่อผู้สมัครที่แอบอ้างวุฒิการศึกษาและตำแหน่งทางวิชาการ จะเป็นบทเรียนให้กับผู้ที่คิดจะใช้ช่องโหว่ของระบบเพื่อประโยชน์ส่วนตน ขณะที่อีกฝ่ายกลับตั้งคำถามถึงความล่าช้าในการดำเนินการของ กกต. ว่าทำไมเพิ่งมีคำวินิจฉัยออกมาในช่วงท้ายของกระบวนการคัดเลือก
ไม่ว่าจะมองในมุมใด เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในกรณีตัวอย่างสำคัญของการต่อสู้ทางกฎหมาย เพื่อปกป้องหลักนิติธรรมในการเมืองไทย และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองในอนาคต
สรุป: จุดเปลี่ยนของกระบวนการสรรหา ส.ว. และความหวังต่อการเมืองไทย
จากกรณีของ พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สู่การฟันธงโดย กกต. ที่ชี้ชัดว่ามีความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งและคดีอาญา ถือเป็นบทสรุปสำคัญของกระบวนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในยุคใหม่ ที่ไม่สามารถปล่อยให้ใครลอยนวลหากใช้วิธีการไม่ชอบธรรมเพื่อเข้าสู่อำนาจ
บทเรียนจากกรณีนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อตัว พญ.เกศกมล เท่านั้น หากแต่ยังเป็นคำเตือนถึงผู้ที่คิดจะเดินเข้าสู่สนามการเมืองโดยไม่ยึดถือความจริง ความโปร่งใส และหลักนิติธรรมอีกด้วย
📌 ติดตามความคืบหน้า: หากศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งรับคำฟ้องในวันที่ 25 กรกฎาคมนี้ คดีนี้จะกลายเป็นคดีตัวอย่างระดับประเทศ และอาจส่งผลต่อการวางแนวทางสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในอนาคต

















