เดือดชายแดน! “ออน” ทหารเขมรกร่าง ผลักอก-ท้านักท่องเที่ยวไทยกลางปราสาท
บรรยากาศตึงเครียดที่ “ปราสาทตาเมือนธม” หลังทหารกัมพูชาผลักอกนักท่องเที่ยวไทย – โซเชียลวิจารณ์ยับ เปรียบ “ฮอน” คือ “ตัวดึงคนใหม่” แทน “โมนิกา”
วันที่ 20 กรกฎาคม 2568 – ความตึงเครียดบนพื้นที่โบราณสถานชายแดนไทย-กัมพูชากลับมาปะทุอีกครั้ง หลังเกิดเหตุการณ์ ทหารกัมพูชาแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่อชาวไทย ที่เดินทางมาเยี่ยมชมบริเวณ “ปราสาทตาเมือนธม” อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ โดยเพจเฟซบุ๊ก “ชุมชนคนสุรินทร์” ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอพร้อมข้อความระบุถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสมของ “ฮอน” ทหารกัมพูชานายหนึ่งที่มีท่าทีข่มขู่และยั่วยุชาวไทยอย่างชัดเจน
คลิปฉาวกลางโบราณสถาน: ทหารกัมพูชาผลักอก-กวักมือท้า "ซก" นักท่องเที่ยวไทย
ในคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็วผ่านเพจท้องถิ่นและโซเชียลมีเดียของไทย ปรากฏภาพเหตุการณ์ภายในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นแหล่งโบราณสถานสำคัญบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านฝั่งประเทศไทย
ชายชาวไทยรายหนึ่งที่ปรากฏในคลิป แสดงอาการสงสัยว่า ชาวกัมพูชาที่อยู่ภายในปราสาทกำลังทำกิจกรรมใด จึงพยายามชะเง้อมองเข้าไปในตัวปราสาท แต่กลับถูก “ฮอน” ทหารกัมพูชาที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู ผลักอกออกมา และมีท่าทางกวักมือคล้ายท้าทายให้เข้าไปมีเรื่อง
พฤติกรรมดังกล่าวสร้างความตกตะลึงและไม่พอใจให้กับทั้งผู้พบเห็นเหตุการณ์ในพื้นที่ รวมถึงผู้ชมคลิปในโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง หลายคนมองว่าการกระทำของทหารนายนี้ เกินขอบเขตหน้าที่และละเมิดมารยาทการทูต โดยเฉพาะเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางประวัติศาสตร์และการเมือง
โซเชียลเดือด! เปรียบ “ฮอน” คือ “ตัวดึงคนใหม่” แห่งชายแดนไทย-เขมร
หลังจากคลิปถูกเผยแพร่ออกไป กระแสในโลกโซเชียล โดยเฉพาะกลุ่มผู้ติดตามข่าวสารชายแดน และกลุ่มคนไทยในภาคอีสานตะวันออก ได้ออกมา แสดงความคิดเห็นอย่างเผ็ดร้อน หลายรายวิจารณ์พฤติกรรมของทหารกัมพูชาว่า “หยาบคาย”, “ไม่ให้เกียรติสถานที่” และ “พยายามยั่วยุให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาท”
ที่สำคัญ มีการนำเหตุการณ์นี้ไปเปรียบเทียบกับกรณี “โมนิกา” หญิงชาวกัมพูชาที่เคยตกเป็นข่าวฉาวจากการชี้หน้าด่าทอทหารไทยบริเวณปราสาทชายแดน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของพฤติกรรมยั่วยุและไม่เคารพกฎระเบียบ
ผู้ใช้โซเชียลจำนวนมากจึงเรียก “ฮอน” ว่าเป็น ‘ตัวดึงคนใหม่’ หรือ “New Monica” ที่มีพฤติกรรมไม่ต่างกัน หลายคนยังได้เตือนให้นักท่องเที่ยวไทยที่มีแผนจะเดินทางไปยังปราสาทชายแดนแห่งนี้ จดจำใบหน้า ลักษณะ รูปร่าง และตำแหน่งประจำการของทหารกัมพูชานายนี้ โดยเฉพาะในบริเวณ “หลักหมุด GPS” ที่ตั้งอยู่หน้าปราสาท
“โมนิกา” ยังไม่โผล่ – ทัวร์กัมพูชากว่า 23 คันหายเงียบ หลังไทยรวมตัวรอต้อนรับ
แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวออกมาจากฝั่งกัมพูชาผ่านโซเชียลมีเดียว่า ทางรัฐบาลกัมพูชาได้จัดเตรียมขบวนรถบัสกว่า 23 คัน เพื่อนำนักท่องเที่ยวและผู้แสดงจุดยืนทางวัฒนธรรม รวมถึง “โมนิกา” มาที่ปราสาทตาเมือนธม แต่จนถึงเวลาบ่ายของวันที่ 20 ก.ค. กลับ ไม่มีวี่แววของขบวนดังกล่าว
หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า การที่ มวลชนชาวไทยจำนวนมากเดินทางมารวมตัวอยู่ที่ทางขึ้นบันไดปราสาท อาจทำให้ทางฝั่งกัมพูชาประเมินสถานการณ์ใหม่ และเลือกที่จะเลื่อนหรือเปลี่ยนเส้นทางของขบวนทัวร์เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย
อย่างไรก็ตาม จากการเฝ้าระวังและติดตามของเจ้าหน้าที่ พบว่ามีบุคคลจากฝั่งกัมพูชาบางส่วนได้เดินทางเข้ามาสังเกตการณ์ภายในพื้นที่อย่างเงียบ ๆ และเดินทางกลับออกไปในช่วงเย็น
มีการคาดการณ์ว่า เช้าวันจันทร์ที่จะถึงนี้ (21 ก.ค.) ซึ่งเป็นวันธรรมดาและคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวไทยน้อยกว่าวันเสาร์-อาทิตย์ อาจเป็นช่วงที่ “โมนิกา” และขบวนทัวร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกัมพูชา จะพยายามเข้ามาอีกครั้ง
การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของกัมพูชา: การท่องเที่ยวหรือการเมือง?
การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักท่องเที่ยวกัมพูชาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ถูกวิเคราะห์จากหลายฝ่ายว่า ไม่ใช่การท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็น “การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์” ของอธิปไตยและการทวงคืนทางวัฒนธรรมในพื้นที่ที่เคยมีข้อพิพาทในอดีต
โดยการส่งคนจำนวนมากเข้ามาในเขตพื้นที่ชายแดน พร้อมประกอบพิธีทางศาสนาและถือธงชาติของตนเอง แฝงนัยยะของการ ยืนยันการเป็นเจ้าของทางประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและเพิ่มระดับความตึงเครียดหากไม่ระมัดระวัง
ฝั่งไทยจึงต้องวางแนวทางเชิงรุกในการบริหารจัดการพื้นที่โบราณสถานที่มีลักษณะ “ร่วมประวัติศาสตร์” เช่นนี้ให้ชัดเจน โดยอาศัยทั้ง กลไกทางกฎหมาย, ความร่วมมือระหว่างประเทศ, และการเสริมสร้างจิตสำนึกของประชาชนในพื้นที่
ท่าทีจากฝั่งไทย: สงบนิ่งแต่เฝ้าระวังเข้ม
แม้สถานการณ์จะมีความอ่อนไหว แต่ทางฝ่ายไทย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ในพื้นที่และกองทัพไทย ยังคงวางตัวอย่างสุขุม โดยไม่ได้ตอบโต้พฤติกรรมยั่วยุใด ๆ อย่างเปิดเผย เพื่อไม่ให้กลายเป็นชนวนของความขัดแย้งระหว่างประเทศ
แต่ขณะเดียวกันก็ได้ เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและทหารในพื้นที่ ให้มีการตรวจตราอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งบันทึกภาพและข้อมูลของบุคคลที่มีพฤติกรรมผิดปกติหรือพยายามยั่วยุ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายหากจำเป็น
นักท่องเที่ยวชาวไทยเองก็ถูกขอความร่วมมือให้ใช้ความอดทนและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรงกับผู้ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมจากต่างประเทศ
สรุป: โบราณสถานไม่ควรเป็นสนามยั่วยุ
เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า โบราณสถานไม่ควรถูกใช้เป็นเวทีการเมืองหรือสนามท้าทายอธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นฝั่งใด การใช้พื้นที่ประวัติศาสตร์ที่ควรเป็นศูนย์รวมจิตใจและวัฒนธรรมร่วม กลับกลายเป็นพื้นที่เผชิญหน้า เป็นสิ่งที่ทั้งสองประเทศควรหลีกเลี่ยง
ประเทศไทยในฐานะเจ้าของพื้นที่ต้องใช้ความสุขุม รอบคอบ และสติในการบริหารสถานการณ์ พร้อมทั้งสื่อสารข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายสากลออกไปให้ประชาคมโลกเข้าใจอย่างถูกต้อง
และที่สำคัญ – ประชาชนไทยทุกคนควรมีจิตสำนึกในการปกป้องแผ่นดินโดยไม่หลงเชื่อการยั่วยุ หรือโกรธตอบอย่างไร้เหตุผล เพราะความสงบคือสิ่งที่ประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย หากเราจะอยู่เป็นเพื่อนบ้านกันอย่างแท้จริง






