ทัวร์ไร้จิตสำนึก! ขยะล้นปราสาทตาควายหลังทัวร์เขมรทิ้งรอยเละ
ปราสาทตาควายคึกคัก! ทัวร์กัมพูชาแห่ทำพิธีสวดมนต์ – ไทยร่วมให้กำลังใจทหาร ด้าน “โมนิกา” ไม่ปรากฏตัว
วันที่ 20 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์ที่บริเวณ “ปราสาทตาควาย” หรือที่คนท้องถิ่นเรียกกันว่า "ปราสาทตาคตวาย" ในพื้นที่ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ กลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อมีขบวนนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชากว่า 20 คันรถบัสเดินทางเข้าพื้นที่ฝั่งชายแดนไทย เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ท่ามกลางความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนไทย ขณะเดียวกัน "โมนิกา" หญิงสาวชาวกัมพูชาที่เคยตกเป็นข่าวจากการชี้หน้าทหารไทยและแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว กลับไม่ได้ปรากฏตัวในกลุ่มทัวร์ชุดนี้ ท่ามกลางข้อสังเกตและการจับตาจากหลายฝ่าย
นักท่องเที่ยวกัมพูชาแห่สวดมนต์-จุดธูปเทียนกลางปราสาทตาควาย
ตั้งแต่เช้าตรู่เวลา 09.00 น. คณะนักข่าวจากหลายสำนักข่าวได้เดินทางไปยังปราสาทตาควาย เพื่อติดตามบรรยากาศการเยี่ยมชมของนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชา ซึ่งเริ่มทยอยเดินทางมาถึงบริเวณปราสาทเป็นระยะ โดยทั้งหมดขึ้นไปยังใจกลางองค์ปราสาท ก่อนเริ่มทำพิธีสวดมนต์แบบกัมพูชาร่วมกันเป็นกลุ่ม ๆ
พิธีกรรมประกอบไปด้วยการจุดดอกไม้ ธูป และเทียน พร้อมการสวดมนต์ภาษาขแมร์อย่างเคร่งขรึม ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีต่อรอบ และหลังจากเสร็จสิ้นก็จะมีการผลัดเปลี่ยนกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้แออัดภายในบริเวณปราสาทซึ่งถือเป็นโบราณสถานสำคัญ และอยู่ในพื้นที่อ่อนไหวของเขตแดนไทย-กัมพูชา
ปัญหาขยะและมลภาวะ: ขวดน้ำ-เครื่องดื่มทิ้งเกลื่อนพื้น
แม้การเยี่ยมชมของชาวกัมพูชาจะเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อยและเป็นระเบียบพอสมควร แต่สิ่งที่สร้างความกังวลใจให้กับเจ้าหน้าที่และประชาชนไทยคือปัญหาขยะที่เกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะขวดน้ำดื่มและขวดเครื่องดื่มต่าง ๆ ที่ถูกนำเข้ามาในพื้นที่ปราสาท และทิ้งเรี่ยราดโดยไม่เก็บกลับ
จากการตรวจสอบ พบว่าขวดจำนวนมากมีตัวอักษรภาษาเขมรอย่างชัดเจน บ่งชี้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศกัมพูชา และการทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทางนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนไม่น้อยที่เดินทางมาในวันเดียวกัน
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นต้องเร่งจัดเก็บและทำความสะอาดพื้นที่อยู่ตลอดเวลา เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญของไทย
“โมนิกา” ไม่ร่วมทริป แม้ถูกระบุในรายชื่อ
สำหรับประเด็นที่หลายคนจับตามอง คือการปรากฏตัวของ “โมนิกา” หญิงสาวชาวกัมพูชาที่เคยตกเป็นข่าวก่อนหน้านี้จากกรณีเผชิญหน้ากับทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดน โดยมีคลิปที่เธอแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมและใช้ถ้อยคำรุนแรงชี้หน้าทหารไทยอย่างไม่เกรงใจ จนกลายเป็นประเด็นในโซเชียลไทยและเขมร
จากข้อมูลที่ถูกแชร์ในฝั่งกัมพูชาผ่านเฟซบุ๊กของกลุ่มสนับสนุน เผยว่า รัฐบาลกัมพูชาได้จัดเตรียมรถบัสกว่า 23 คัน เพื่อพาประชาชนจากกรุงพนมเปญเดินทางมายังพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย โดยระบุว่า “โมนิกา” ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมขบวนการเดินทางมาครั้งนี้ด้วย
แต่เมื่อถึงเวลาจริง กลับไม่ปรากฏว่าเธอเดินทางมาด้วย ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าทางการกัมพูชาอาจเปลี่ยนแผนกระทันหัน หรือมีการสั่งห้ามไม่ให้เธอเข้าพื้นที่ในฝั่งไทย เพื่อไม่ให้เกิดกระแสตึงเครียดเพิ่มเติมในพื้นที่ชายแดนที่ยังคงอ่อนไหวในด้านความรู้สึกของประชาชนทั้งสองฝ่าย
รัฐบาลกัมพูชาสนับสนุนเต็มที่ – เดินทางพร้อมอาหารครบ 3 มื้อ
สิ่งที่ชัดเจนจากการสังเกตการณ์ครั้งนี้คือ “ความตั้งใจจริง” ของรัฐบาลกัมพูชาในการส่งประชาชนของตนมาเยี่ยมชมพื้นที่ปราสาทชายแดน ซึ่งรวมถึงการให้ความสนับสนุนด้านการเดินทาง อาหารเช้า อาหารเที่ยง และระบบจัดการขบวนอย่างเป็นระเบียบ
นักท่องเที่ยวแต่ละคันมีการนัดหมายล่วงหน้า และมีเจ้าหน้าที่ประสานงานเพื่อความเป็นระเบียบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายเชิงสัญลักษณ์ที่รัฐบาลกัมพูชาต้องการส่งสารว่า ปราสาทแห่งนี้ยังเป็นพื้นที่ที่ชาวกัมพูชาให้ความเคารพและผูกพันทางวัฒนธรรม
ฝั่งไทยไม่ยอมน้อยหน้า – นักท่องเที่ยวทยอยเข้าเยี่ยมให้กำลังใจทหาร
ในขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนมากก็เดินทางเข้ามาเที่ยวชมปราสาทตาควายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน โดยส่วนใหญ่มีจุดประสงค์เพื่อมาให้กำลังใจทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งในการดูแลความสงบเรียบร้อยของพื้นที่ชายแดน
มีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่สวมเสื้อสีเหลืองพร้อมสัญลักษณ์ธงชาติไทย แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าเป็นผู้สนับสนุนประเทศไทย และต้องการปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างไม่ยอมให้ใครมาแสดงพฤติกรรมอุกอาจภายในเขตไทย
บรรยากาศโดยรวมจึงเต็มไปด้วยความคึกคักจากทั้งสองฝั่ง ทั้งความเคารพทางศาสนาและจุดยืนทางการเมืองซึ่งดำเนินไปอย่างสงบ แม้จะมีจุดอ่อนไหวอยู่บ้าง
สะท้อนมิติ “การท่องเที่ยวเชิงอธิปไตย” และวัฒนธรรมร่วมชายแดน
การเคลื่อนไหวของนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาครั้งนี้ ทำให้เกิดคำถามถึงบทบาทของ “การท่องเที่ยวเชิงสัญลักษณ์” ที่รัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือแสดงอธิปไตยในพื้นที่ทับซ้อนทางประวัติศาสตร์ โดยใช้โบราณสถานอย่าง “ปราสาทตาควาย” และ “ปราสาทตาเมือนธม” เป็นสื่อกลาง
ในขณะเดียวกัน ฝั่งไทยเองก็ตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาความมั่นคงทางพื้นที่และวัฒนธรรม โดยยังคงยึดหลักสันติวิธี เปิดพื้นที่ให้มีการท่องเที่ยวร่วมกันได้ ตราบใดที่ไม่มีพฤติกรรมที่ล้ำเส้นหรือละเมิดกฎหมายของไทย
สรุป: ไทยต้องเร่งวางแนวทางการจัดการเชิงรุก
เหตุการณ์ในวันนี้อาจดูเหมือนเป็นเพียงกิจกรรมของนักท่องเที่ยวตามปกติ แต่หากวิเคราะห์ในเชิงลึกแล้ว ถือเป็น “การเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์” ที่ต้องจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในประเด็นของการใช้แหล่งโบราณสถานในพื้นที่ชายแดนเพื่อส่งสารทางการเมืองแบบนิ่มนวล
ไทยควรเร่งวางแนวทางบริหารจัดการพื้นที่โบราณสถานให้มีความเป็นระบบ ทั้งในเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย และความเข้าใจร่วมกันทางวัฒนธรรมระหว่างสองชาติ เพื่อป้องกันไม่ให้การท่องเที่ยวกลายเป็นเครื่องมือสร้างความขัดแย้ง
ท้ายที่สุด แม้ “โมนิกา” จะไม่ปรากฏตัวในครั้งนี้ แต่ความเคลื่อนไหวของฝั่งกัมพูชาก็ยังคงดำเนินต่อไป และฝั่งไทยเองก็ต้องพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์อย่างมีสติ ปัญญา และความรอบคอบ






















