กัมพูชาโต้เดือด! หลังไทยจ่อฟ้องศาลโลก ปมทุ่นระเบิดชายแดน
ความตึงเครียดบนแนวชายแดนไทย-กัมพูชา กับข้อกล่าวหาการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา: ทุ่นระเบิดใหม่, ความรับผิดชอบ และศาลโลก
ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชาบนพื้นที่ชายแดนกลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง หลังจากเกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ทหารไทยเหยียบกับกับระเบิด ส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บถึง 3 นาย หนึ่งในนั้นต้องถูกตัดขาเพื่อรักษาชีวิต ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้จุดกระแสความไม่พอใจและข้อกล่าวหาต่อกัมพูชาในฐานะผู้ละเมิด “อนุสัญญาออตตาวา” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นภาคีร่วมกัน
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาเชิงมนุษยธรรม แต่ยังเป็นชนวนที่ทำให้ฝ่ายความมั่นคงไทยเตรียมดำเนินการฟ้องร้องกัมพูชาต่อองค์การสหประชาชาติ (UN) และอาจนำไปสู่การนำข้อพิพาทเข้าสู่ “ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ” (ICJ) ซึ่งอาจกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอุษาคเนย์
เหตุการณ์เบื้องต้น: ทหารไทยเจ็บจากกับระเบิดกลางชายแดน
เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ที่ทหารไทย 3 นาย ซึ่งปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดนติดกับจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ได้เหยียบกับทุ่นระเบิด ส่งผลให้หนึ่งในนั้นต้องถูกตัดขาเพื่อรักษาชีวิต และอีกสองนายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น หน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยได้เข้าตรวจสอบพื้นที่และเก็บรวบรวมพยานหลักฐานอย่างเร่งด่วน โดยเบื้องต้นจากการพิสูจน์ของเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด และหน่วยงานด้านอาวุธของกองทัพไทย พบว่า ทุ่นระเบิดดังกล่าว “มีสภาพใหม่” และมีลักษณะของการวางในช่วงเวลาไม่เกิน 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งไม่ใช่ระเบิดตกค้างจากสงครามสมัยก่อนตามที่บางฝ่ายพยายามกล่าวอ้าง
การตอบโต้จากกัมพูชา: ปัดข้อกล่าวหา พร้อมกล่าวโทษฝ่ายไทย
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 นายเฮง รัตนะ (Heng Ratana) ผู้แทนรัฐบาลกัมพูชาประจำศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิด (CMAC) ได้ออกมาแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุถึงเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบกับระเบิดว่า “เป็นเรื่องน่าเสียใจ” แต่เขายืนยันว่า กระแสข่าวในประเทศไทยนั้น “พยายามบิดเบือนและสร้างความเสื่อมเสียต่อกัมพูชา”
เฮง รัตนะ ยังตั้งคำถามกลับว่า ภาพถ่ายจำนวนมากที่เผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดียของไทย เป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่า “ทหารไทยเองกำลังวางกับระเบิดตามแนวชายแดน” และเขาเรียกร้องให้รัฐบาลไทย รวมถึงองค์กรด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของไทย ออกมาชี้แจงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ
ที่สำคัญ เขาได้หยิบยกบทบัญญัติในอนุสัญญาออตตาวา มาตรา 5 ซึ่งระบุว่า “รัฐภาคีมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำจัดทุ่นระเบิดภายในดินแดนของตน” มาใช้โต้แย้ง โดยชี้ว่า หากเกิดเหตุในดินแดนของไทย ไทยย่อมต้องเป็นผู้รับผิดชอบตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
จุดยืนของไทย: หลักฐานชี้ชัด – เตรียมฟ้องสหประชาชาติและศาลโลก
ด้านกองทัพไทยและกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ข้อกล่าวหาจากกัมพูชา โดยยืนยันว่า จากการตรวจสอบเชิงเทคนิคของหน่วยงานด้านยุทธภัณฑ์ และข้อมูลด้านสารเคมีของวัตถุระเบิด พบว่า ทุ่นระเบิดที่เป็นสาเหตุในการบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่ “ถูกวางใหม่” ไม่ใช่ของเก่าหรือของตกค้างแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้น รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย ยังได้ส่งหนังสือไปยังคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชาเพื่อขอให้ฝั่งกัมพูชาเร่งดำเนินการ “เก็บกู้ทุ่นระเบิดบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ” โดยด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม จากท่าทีแข็งกร้าวของฝ่ายกัมพูชา ที่ปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยสิ้นเชิง ทำให้รัฐบาลไทยเริ่มมีแนวโน้มที่จะยกระดับข้อพิพาทขึ้นไปยังระดับสากล โดยเตรียมนำคดีนี้เข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องต่อองค์การสหประชาชาติ และหากจำเป็นอาจพิจารณาให้ดำเนินคดีต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice – ICJ)
อนุสัญญาออตตาวาคืออะไร? และใครต้องรับผิดชอบ?
อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ Ottawa Treaty เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ห้ามการใช้ ผลิต สะสม หรือถ่ายโอนทุ่นระเบิดที่ออกแบบมาเพื่อสังหารบุคคล รวมถึงการเรียกร้องให้มีการเก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดที่ตกค้างอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
ประเทศไทยและกัมพูชาต่างก็เป็นภาคีของอนุสัญญานี้ โดยมีข้อผูกพันอย่างชัดเจนว่า ห้ามมีการวางกับระเบิดใหม่ และต้องทำลายของเก่าทั้งหมดให้หมดสิ้นภายในเวลาที่กำหนด
ข้อถกเถียงในกรณีนี้จึงอยู่ที่ประเด็นสำคัญ 2 ข้อ ได้แก่:
1. ทุ่นระเบิดที่ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บเป็นของเก่าหรือของใหม่?
หากเป็นของใหม่ และพบว่ามีการวางโดยเจตนาโดยกองกำลังฝั่งกัมพูชา จะถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างร้ายแรง
2. เหตุเกิดในเขตใคร?
ถ้าเหตุเกิดในเขตแดนของประเทศไทย การวางทุ่นระเบิดโดยประเทศอื่นจะถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและกฎหมายระหว่างประเทศทันที
ประวัติความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา: บาดแผลที่ยังไม่จาง
ปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้โบราณสถาน เช่น ปราสาทพระวิหาร, ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย เป็นประเด็นที่เคยนำไปสู่การปะทะด้วยอาวุธมาแล้วหลายครั้งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
แม้ในช่วงหลังความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-กัมพูชาจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในระดับรัฐบาล แต่ในระดับพื้นที่ชายแดนยังคงเกิดการเคลื่อนไหวของทั้งกองกำลังและประชาชนอยู่เป็นระยะ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวยังคงเป็น “ระเบิดเวลา” ที่อาจปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ
วิเคราะห์ท่าที: ข้อพิพาทนี้จะนำไปสู่การฟ้องร้องจริงหรือ?
การที่เฮง รัตนะ ออกมาท้าให้ไทยดำเนินคดีต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศนั้น อาจตีความได้หลายแง่มุม
ฝ่ายกัมพูชาอาจเชื่อมั่นว่า “ตนไม่ได้เป็นผู้วางกับระเบิดใหม่” หรือ
ต้องการพลิกเกมให้ไทยเป็นฝ่ายต้องพิสูจน์หลักฐานในเวทีสากล
หรืออาจเป็นความพยายามผลักภาระให้ฝ่ายไทยต้อง “รับผิดชอบ” ต่อทุ่นระเบิดที่อยู่ในพื้นที่ของตนเอง ตามข้อบัญญัติในอนุสัญญาออตตาวา
หากประเทศไทยเดินหน้าเข้าสู่การฟ้องร้องจริง ย่อมต้องเตรียมเอกสารหลักฐานอย่างรอบคอบ ทั้งในเชิงเทคนิค (การพิสูจน์ว่าเป็นกับระเบิดใหม่), เชิงภูมิศาสตร์ (แผนที่ยืนยันว่าเกิดในฝั่งไทย), และหลักฐานด้านมนุษยธรรม (ผลกระทบต่อทหารและประชาชน)
สรุป: สงครามทุ่นระเบิดในศตวรรษที่ 21 กับศักดิ์ศรีของสองชาติ
กรณีทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากกับระเบิดไม่เพียงแต่เป็นปัญหาด้านความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องสะท้อนถึงความเปราะบางของชายแดนไทย-กัมพูชา และความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศอย่างจริงจัง
หากคดีนี้เข้าสู่เวทีสากล ไม่เพียงแต่จะเป็นการพิสูจน์ความจริง แต่ยังเป็นบททดสอบความโปร่งใสและความรับผิดชอบของทั้งสองประเทศในเวทีโลก ทั้งนี้ ก็เพื่อยุติการวางกับระเบิดที่อาจพรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ในอนาคตและเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของชาติอย่างแท้จริง






