กัมพูชาประกาศจัดทัวร์หมื่นคน แต่พอถึงวันจริง...คนโผล่มาแค่นี้เอง!?
ปรากฏการณ์ "รวมพลเสื้อขาว" ที่ปราสาทตาเมือนธม: สัญญาณสัญลักษณ์ทางการเมือง-วัฒนธรรมจากกัมพูชา และผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย
เมื่อวันที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากทั้งประชาชนและภาครัฐของไทย ภายหลังจากเพจ “ABC Cambodia” ได้เผยแพร่ข้อมูลการจัดกิจกรรมรวมตัวชาวกัมพูชากว่า 10,000 คน เพื่อเดินทางไปยัง “ปราสาทตาเมือนธม” และ “ปราสาทตาควาย” ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสุรินทร์
แม้ผู้จัดงานอ้างว่าเป็นกิจกรรมโดยภาคเอกชน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลกัมพูชาโดยตรง แต่ด้วยเนื้อหาที่สื่อถึงการแสดงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม พร้อมสัญลักษณ์เชิงสื่อสารทางการเมือง รวมถึงคำกล่าวอ้างว่า “ตัวอักษรและตัวเลขไทย มีรากจากวัฒนธรรมเขมร” ส่งผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และจับตามองในวงกว้าง
บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงเบื้องหลัง เหตุการณ์ และผลกระทบที่ตามมา ทั้งในมิติด้านความมั่นคง วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เบื้องหลัง: การจัดกิจกรรม และเป้าหมายเชิงสัญลักษณ์
เพจ “ABC Cambodia” ได้โพสต์ข้อมูลการจัดกิจกรรมในลักษณะ “รวมพลชาวกัมพูชา” โดยมีรถบัสจำนวน 23 คัน และรถยนต์ส่วนตัวอีกหลายร้อยคันเดินทางจากพื้นที่ในกัมพูชา มุ่งหน้าไปยังปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ฝั่งไทย โดยตั้งอยู่ใกล้ชายแดนและเคยมีข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ในอดีต
ผู้จัดกิจกรรมระบุว่า ผู้เข้าร่วมทุกคนจะสวมเสื้อสีขาวที่มี “ตัวอักษรเขมร” ติดอยู่ที่หน้าอก เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในฐานะชนชาติที่มีอารยธรรมเก่าแก่ และเพื่อสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ต่อ “สยาม” ซึ่งหมายถึงประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังมีการถือป้ายแสดงตัวอักษรไทยทั้ง 44 ตัว พร้อมคำอธิบายเชิงวาทกรรมที่อ้างว่าตัวอักษรเหล่านี้มีรากเหง้ามาจากวัฒนธรรมเขมรโบราณ ซึ่งเป็นประเด็นที่อ่อนไหว และอาจสร้างความไม่พอใจต่อสาธารณชนไทย โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์
ความชัดเจนหรือคลุมเครือ: บทบาทของภาครัฐกัมพูชา
หลังจากที่มีสื่อไทยรายงานว่า พลเอก ฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้การสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว ก็ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่ารัฐบาลกัมพูชาอาจมีบทบาทอยู่เบื้องหลัง แต่ทางเพจ ABC Cambodia ได้ออกแถลงการณ์ว่า “กิจกรรมนี้ไม่ได้จัดโดยรัฐบาลกัมพูชา” แต่จัดโดย “ภาคเอกชน” ที่รักชาติ
มีการจำหน่ายตั๋วโดยสารในราคาที่นั่งละ 20 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 730 บาท) และระบุว่าผู้เข้าร่วมล้วนเดินทางด้วย “หัวใจที่รักชาติอย่างแท้จริง”
อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากภาคสนามว่า มีกลุ่มชาวกัมพูชาจำนวนประมาณ 900 คนเดินทางมาถึงบริเวณปราสาทตาเมือนธมจริง และได้รับการต้อนรับจากทหารกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดน ซึ่งแม้จะไม่ใช่การแสดงออกเชิงสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงการเปิดพื้นที่และความร่วมมือในระดับหนึ่งระหว่างกองกำลังในพื้นที่กับผู้จัดกิจกรรม
ปราสาทตาเมือนธม: โบราณสถานที่ซ้อนทับด้วยอัตลักษณ์และการเมือง
“ปราสาทตาเมือนธม” และ “ปราสาทตาควาย” เป็นโบราณสถานในยุคขอมโบราณ สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16–17 ตั้งอยู่ในพื้นที่ของประเทศไทยทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดกับชายแดนประเทศกัมพูชา
แม้จะอยู่ในเขตแดนของไทยในปัจจุบัน แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ทำให้กลุ่มชาวกัมพูชาจำนวนมากถือว่าปราสาทเหล่านี้เป็น “ส่วนหนึ่งของอารยธรรมเขมรดั้งเดิม” และเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลของตน “แสดงสิทธิทางวัฒนธรรม” ต่อสถานที่ดังกล่าวอยู่เป็นระยะ
ปราสาทตาเมือนธมจึงไม่ใช่เพียงแค่สถานที่ท่องเที่ยวหรือโบราณสถาน แต่เป็น “จุดยุทธศาสตร์ทางวาทกรรม” ที่สามารถปลุกอารมณ์ชาตินิยมได้ง่าย และถูกใช้เป็นเครื่องมือเชิงการเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศ
ป้ายข้อความ-เสื้อสีขาว: ยุทธศาสตร์สื่อสารใหม่ที่ไม่ต้องใช้อาวุธ
สิ่งที่น่าสนใจคือ การที่ผู้จัดกิจกรรมเลือกใช้ “เสื้อสีขาว” และ “ป้ายไวนิลตัวอักษรไทย” เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร ไม่ใช่อาวุธ ไม่ใช่การประท้วงรุนแรง แต่กลับเป็น “สัญลักษณ์แห่งการเคลื่อนไหวเชิงอารยะ” ที่แฝงความหมายทางการเมืองและวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องตัวอักษรไทย ที่ถูกกล่าวอ้างว่ามีต้นกำเนิดจากวัฒนธรรมเขมร เป็นวาทกรรมที่เคยปรากฏในบทเรียนทางประวัติศาสตร์บางกระแสในกัมพูชา ซึ่งมักจะถูกหยิบยกมาใช้อ้างอิงเพื่อแสดงสิทธิทางวัฒนธรรม หรือเป็นข้อเรียกร้องเชิงอัตลักษณ์ในเวทีระหว่างประเทศ
คำถามคือ การแสดงออกเช่นนี้เป็น “การแสดงความรักชาติอย่างแท้จริง” หรือเป็น “การกดดันทางวัฒนธรรม” ต่อประเทศเพื่อนบ้าน?
ปฏิกิริยาจากไทย: ความกังวลและมาตรการเฝ้าระวัง
แม้รัฐบาลไทยยังไม่ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ แต่เจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะหน่วยงานที่รับผิดชอบในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ได้มีการเสริมกำลังและเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าหรือกระทบกระทั่งที่อาจบานปลาย
ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวที่อยู่ในพื้นที่ก็รายงานว่า รู้สึกไม่สบายใจจากบรรยากาศความตึงเครียดที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเห็นกลุ่มคนจำนวนมากถือป้ายข้อความและมีการตะโกนวาทกรรมเชิงยั่วยุ
กระแสในโซเชียลมีเดียไทยเองก็เต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ บางฝ่ายเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการทางการทูตเพื่อสอบถามความชัดเจนจากกัมพูชา บ้างก็เสนอให้จัดกิจกรรมตอบโต้เชิงวัฒนธรรมของไทยเพื่อรักษาอัตลักษณ์ที่ถูกกล่าวอ้าง
ผลกระทบระยะยาว: ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา จะเป็นอย่างไร?
เหตุการณ์นี้อาจเป็น “บททดสอบใหม่” ของความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งแม้จะพัฒนาในทิศทางที่ดีในด้านเศรษฐกิจและการค้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ในด้านวัฒนธรรมและความมั่นคงบริเวณชายแดน ยังมีความเปราะบางซ่อนอยู่เสมอ
การเคลื่อนไหวของกลุ่มชาวกัมพูชาในครั้งนี้ อาจดูเหมือนไม่รุนแรง แต่กลับมี “พลังเชิงสัญลักษณ์” ที่สามารถปลุกกระแสชาตินิยมได้ทั้งสองฝ่าย และหากไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม ก็อาจลุกลามกลายเป็นข้อพิพาททางการเมืองในระดับที่สูงขึ้น
สรุป: เสื้อขาวอาจไร้อาวุธ แต่ไม่ไร้ผลกระทบ
กิจกรรม “รวมพลเสื้อขาว” ที่เกิดขึ้น ณ ปราสาทตาเมือนธม แม้จะไม่มีการใช้อาวุธ ไม่มีการเผชิญหน้าทางกำลัง แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ “พลังอ่อน” (Soft Power) ในการสร้างอิทธิพลเชิงวาทกรรมเหนือประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ และอารมณ์ร่วมของประชาชน
หากไม่มีการรับมืออย่างชาญฉลาดจากรัฐบาลไทย ทั้งในด้านการสื่อสาร การทูต และการสร้างความรู้ในมิติประวัติศาสตร์ ก็อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระยะยาวในระดับที่ยากจะแก้ไข






