“ไม่ทน! ทหารช่างไทยเคลียร์ทุ่นระเบิด-ลุยหาหลักฐานเพิ่ม ตอบโต้ได้ทุกเมื่อ”
กองทัพบกไทยเสริมกำลังทหารช่างเก็บกู้ระเบิดชายแดน หลังเหตุทหารราบ ร.6021 เหยียบกับระเบิด เจ็บ 3 นาย – เดินหน้าชี้กัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา
วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 – ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาบริเวณ “ช่องบก” จังหวัดสุรินทร์ ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หลังจากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กำลังพลจาก “หน่วยร้อย ร.6021” ซึ่งปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนรักษาความสงบในพื้นที่ชายแดน ได้ประสบเหตุ “เหยียบกับระเบิด” ส่งผลให้มีทหารได้รับบาดเจ็บจำนวน 3 นาย เหตุการณ์นี้สร้างความกังวลอย่างลึกซึ้งถึงความปลอดภัยของกำลังพล และทำให้กองทัพบกไทยต้องเร่งประสานงานเพื่อดำเนินการ “เก็บกู้ทุ่นระเบิด” พร้อมทั้งดำเนินมาตรการตอบโต้ในระดับที่เหมาะสม
ปฏิบัติการเร่งด่วน: เสริมทหารช่าง-ยุทโธปกรณ์หนัก เคลียร์พื้นที่ชายแดน
ทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว กองทัพบกโดยกองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้ “หน่วยทหารช่าง” ลงพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยเน้นปฏิบัติภารกิจตรวจสอบและเก็บกู้ทุ่นระเบิดบริเวณแนวชายแดนที่เข้าข่ายพื้นที่ต้องสงสัย โดยใช้อุปกรณ์และยุทโธปกรณ์เฉพาะทาง รวมถึงเครื่องมือกลหนัก เช่น
รถแทรกเตอร์หุ้มเกราะ
รถโกยตักเพื่อถางพื้นที่
รถถากถางติดตั้งเกราะเหล็กเพื่อป้องกันพลขับ
อุปกรณ์ตรวจจับและเก็บกู้ทุ่นระเบิด (Mine Clearing Equipment)
ชุดทหารช่างชำนาญการด้านการตรวจค้นและทำลายทุ่นระเบิด
การดำเนินงานในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อ “เคลียร์พื้นที่” ให้ปลอดภัยจากวัตถุระเบิดที่อาจหลงเหลืออยู่ แต่ยังมีจุดประสงค์สำคัญคือ “การเก็บหลักฐาน” เพื่อยืนยันว่า การฝังทุ่นระเบิดบริเวณดังกล่าวนั้น เป็นการละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งจะกลายเป็นข้อมูลหลักฐานสำคัญสำหรับการดำเนินการทางการทูตและการตอบโต้ทางการทหารในลำดับถัดไป
อนุสัญญาออตตาวา: กัมพูชาละเมิดข้อตกลงสากล?
จุดที่น่าสนใจคือ กรณีที่ประเทศไทยเตรียมดำเนินการทางการทูต โดยระบุว่าการที่มีกับระเบิดในบริเวณดังกล่าวนั้น เป็นการละเมิด อนุสัญญาออตตาวา หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า “อนุสัญญาห้ามใช้ สะสม ผลิต และถ่ายโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 โดยมีประเทศไทยและกัมพูชาเป็นประเทศภาคีร่วมลงนาม
แม้ว่าในเบื้องต้น ทางการกัมพูชาจะปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการวางกับระเบิดในพื้นที่ชายแดน แต่ทางประเทศไทย โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า จะจัดทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการส่งผ่านองค์การสหประชาชาติ (UN) พร้อมทั้งเสนอข้อมูลหลักฐานจากการตรวจสอบภาคสนามโดยกองทัพภาคที่ 2 เพื่อให้เกิดการตรวจสอบระดับนานาชาติ
บาดแผลที่ซ้ำเติม – ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลกระทบในระดับปฏิบัติการทหาร แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมต่อความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศที่มีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งสะสมมายาวนาน โดยเฉพาะในประเด็นที่ดินแนวชายแดนที่ยังไม่เคยได้รับการแบ่งเขตอย่างชัดเจนจากทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะบริเวณแนว “เขาพระวิหาร” และ “ช่องบก” ที่เป็นพื้นที่ซ้อนทับและมีประวัติการเผชิญหน้าหลายครั้งในอดีต
แม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลของทั้งสองประเทศจะพยายามใช้ช่องทางการทูตในการแก้ไขข้อพิพาทและป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะระดับรุนแรง แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้อาจกลายเป็นชนวนใหม่ที่ทำให้ความสัมพันธ์กลับมาอยู่ในจุดเปราะบางอีกครั้ง
ภารกิจของทหารช่าง: เก็บกู้-เก็บหลักฐาน-เคลียร์แนวรบ
การลงพื้นที่ของหน่วยทหารช่างในครั้งนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อเก็บกู้ทุ่นระเบิด แต่ยังรวมถึงการบันทึกข้อมูล สะสมพยานหลักฐาน และถ่ายภาพวัตถุระเบิด เพื่อใช้ประกอบรายงานสำหรับส่งต่อไปยังรัฐบาลกลางและองค์กรระหว่างประเทศ
โดยการทำงานในพื้นที่เสี่ยงเช่นนี้ จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันที่ทันสมัยที่สุด รวมถึงการติดตั้งเกราะเหล็กเสริมในรถทุกคันที่ปฏิบัติการเพื่อให้มั่นใจว่าพลขับและเจ้าหน้าที่ทุกนายจะปลอดภัยจากแรงระเบิดหากเกิดเหตุซ้ำ
ในขณะเดียวกัน การเก็บข้อมูลของร่องรอยวัตถุระเบิด ไม่เพียงเป็นการยืนยันการกระทำของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมหลักฐานให้รัฐบาลไทยสามารถ “ยกระดับ” การดำเนินการทางการทูตสู่ระดับนานาชาติได้อย่างชัดเจน
กองทัพบกเตรียมมาตรการ “ตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสม”
แม้ฝ่ายไทยจะยึดหลักความสงบและความสัมพันธ์อันดีในภูมิภาคเป็นหลัก แต่ในขณะเดียวกัน พลเอกผู้บัญชาการทหารบก ได้ออกแถลงการณ์สั้น ๆ ว่า “กองทัพบกจะมีมาตรการตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสม หากมีการยืนยันแน่ชัดว่ามีการละเมิดพรมแดนหรือใช้กำลังที่ขัดต่ออนุสัญญาสากล”
แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยแนวทางการตอบโต้ดังกล่าวว่าอยู่ในรูปแบบใด แต่อาจรวมถึง
การเพิ่มกำลังลาดตระเวน
การตั้งฐานปฏิบัติการชั่วคราวในแนวเขตพื้นที่ต้องสงสัย
การจัดกำลังเฉพาะกิจเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง
การซ้อมรบชายแดนร่วมกับพันธมิตรประเทศเพื่อแสดงศักยภาพการป้องกัน
ความปลอดภัยของกำลังพลคือภารกิจอันดับหนึ่ง
แม้ว่าการป้องกันพรมแดนคือภารกิจหลักของกองทัพ แต่ “ชีวิตของกำลังพล” ยังคงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ในทุกขั้นตอนของการดำเนินภารกิจจึงต้องอาศัยความรัดกุม การประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และการสนับสนุนทางยุทธวิธีอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียขึ้นอีก
ปัจจุบันทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลทหารภาคสนาม และอยู่ในระหว่างการดูแลของทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งทั้ง 3 นายอาการยังทรงตัว
สรุป: เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ “กับระเบิด” แต่คือ “สัญญาณเตือน” ที่ควรจับตา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ ไม่ควรมองเพียงแค่การเผชิญหน้าชั่วคราว หรืออุบัติเหตุจากซากสงคราม แต่ควรพิจารณาอย่างจริงจังว่าเป็น “สัญญาณเตือน” ที่สะท้อนถึงความเปราะบางของเขตแดน และความจำเป็นที่ต้องมีการเจรจาระดับสูงอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างแท้จริงในการรื้อถอนทุ่นระเบิด และวางมาตรการไม่ให้เกิดการสูญเสียอีกในอนาคต
หากทั้งสองประเทศยังไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ ก็อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าที่รุนแรงขึ้นในอนาคต และจะส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองฝั่งโดยตรง








