กองทัพไทยร้องสหประชาชาติ หลังเขมรวางทุ่นระเบิดใหม่ที่ช่องบก
เพจเฟสบุ๊ก "ทีมโฆษกกองทัพบก" ได้โพสต์ถึงสถานการณ์ภายหลังเกิดเหตุการณ์กำลังพล ได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิด ระหว่างปฏิบัติลาดตระเวนในพื้นที่ชายแดนช่องบก จ.อุบลราชธานีว่า "โฆษกกองทัพบก พลตรี "วินธัย สุวารี" ได้ออกมากล่าวว่า "พลโท บุญสิน พาดกลาง" แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ออกมาชี้แจงผลการตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ โดย นปท.3 ที่ระบุว่ามีวางทุ่นระเบิดใหม่ จำนวน 8 ทุ่น ในพื้นที่เขตแดนไทย ซึ่งขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา "ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล" แม้ทางฝ่ายกัมพูชาจะไม่ยอมรับ แต่หน่วยจะรายงานข้อเท็จจริง ถึงกองทัพบกและรัฐบาล เพื่อประท้วงผ่านสหประชาชาติ ต่อไป พร้อมเตรียมส่งทหารเข้าตรวจพื้นที่ และ เก็บกู้ตลอดแนวชายแดน ควบคู่ไปกับใช้การมาตรการตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสม"
ผู้บัญชาการทหารบก พลเอก "พนา แคล้วปลอดทุกข์" กล่าวว่า "ผมรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ต่อเหตุที่เกิดขึ้น ด้วยกำลังพลของกองทัพบกเปรียบเสมือน สมาชิกในครอบครัวเดียวกัน" และ "ผมได้สั่งการให้ต้นสังกัดติดตามการรักษาพยาบาลอย่างใกล้ชิด ซึ่งรวมถึงดูแลด้านสิทธิและสวัสดิการให้กำลังพลและครอบครัวอย่างเต็มที่" พร้อมยืนยันว่า "จะดูแลกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวให้ดีที่สุด โดยกองทัพบกมีความห่วงใยในความรู้สึกของครอบครัว และบุคคลใกล้ชิดของกำลังพลเสมอมา" และ "การลาดตระเวนของหน่วยทหาร เป็นมาตรการเชิงรุกที่ได้ผลในการตรวจตรา และ รักษาพื้นที่แนวชายแดนไม่ให้ถูกรุกล้ำ แต่อาจต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกนายตระหนักดี และ พร้อมทุ่มเทอย่างเต็มกำลังเพื่อภารกิจในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ" และ "จากการตรวจที่เกิดเหตุตามที่ปรากฏความชัดเจนแล้วว่า ทุ่นระเบิดที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นทุ่นระเบิดที่มีการวางขึ้นใหม่"
กองทัพบกขอยืนยันว่า "จะปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยและเกียรติภูมิของชาติ ด้วยความรอบคอบ และ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในสายตาสังคมโลก และ ไม่ตกเป็นเป้าของการบิดเบือนจากฝ่ายที่ไม่หวังดี" และ "กองทัพบกตระหนักดีว่า ประชาชนของไทยและกัมพูชา ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกัน ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดน มิใช่ปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ จึงไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์ถูกตีความผิด จนบานปลายไปสู่ความเกลียดชังระหว่างกัน"
"พนา แคล้วปลอดทุกข์" เน้นย้ำว่า "ในปัจจุบันฝ่ายไทย ไม่ได้มีการปิดด่านแต่อย่างใด เป็นเพียงการเพิ่มความเข้มงวด ในมาตรการคัดกรองบุคคล" และ "การบริหารเวลาเข้า-ออกให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นเท่านั้น!!" และ "ขอให้สังคมเชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานว่า "ทุกคนต่างทุ่มเท เสียสละ ทำหน้าที่ในด่านหน้าแทนพวกเราทุกคน ซึ่งกำลังใจจากสังคม อาจเป็นเหมือนของขวัญอันทรงคุณค่ายิ่ง รวมถึงความสามัคคีกันของคนในชาติ ย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้!!"






















