หญิงเขมรร้องไห้ ยกมือไหว้ทหารไทย ขอเมตตาขออย่าเอาคลิปไปตัดต่อ
เปิดใจ “นโรดม แพน โมนิกา” หญิงชาวกัมพูชากรณีเหตุชี้หน้าทหารไทยที่ปราสาทตาเมือนธม – “ทั้งหมดไม่ใช่การแสดง”
กลายเป็นประเด็นร้อนที่สร้างความสนใจในโลกโซเชียลและวงการข่าวระหว่างประเทศ เมื่อเกิดเหตุการณ์การเผชิญหน้าระหว่างทหารไทยและพลเรือนหญิงชาวกัมพูชา ที่บริเวณ ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นประเด็นอ่อนไหวทางการทูตและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน คือ ไทย และ กัมพูชา
ผู้หญิงชาวกัมพูชาคนดังกล่าวมีชื่อว่า "นโรดม แพน โมนิกา" ซึ่งในเวลาต่อมาได้มีการเปิดเผยคลิปวิดีโอจากเจ้าตัวผ่านสื่อโซเชียล เพื่อชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมยืนยันว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การแสดง และไม่ต้องการให้ใครนำวิดีโอไปตัดต่อสร้างความเสียหาย”
บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับเหตุการณ์ทั้งหมดในมุมมองของนางสาวโมนิกา รวมถึงเจาะประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์เบื้องหลัง พร้อมทั้งบทวิเคราะห์ผลกระทบทางสังคมและจิตวิทยาที่สะท้อนจากเหตุการณ์นี้
🔎 เหตุการณ์ต้นเรื่อง: จุดเริ่มต้นความขัดแย้งที่ตาเมือนธม
วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ได้มีรายงานว่าเกิดเหตุหญิงสาวชาวกัมพูชาได้เดินทางมายังบริเวณปราสาทตาเมือนธม ซึ่งตั้งอยู่ในเขต อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย และได้มีการปะทะคารมกับเจ้าหน้าที่ทหารไทยในพื้นที่ โดยในคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ออกมานั้น ปรากฏภาพที่หญิงสาวคนนี้ ชี้หน้า พูดเสียงดังใส่เจ้าหน้าที่ทหารไทย และมีท่าทีไม่พอใจอย่างรุนแรง
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดน แต่ยังกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ไทยและกัมพูชา สื่อมวลชนและเพจข่าวจำนวนมากต่างนำเสนอข่าวนี้ด้วยหัวข้อที่แตกต่างกันออกไป บางกระแสกล่าวหาเธอว่า “จงใจยั่วยุ” ขณะที่บางคนสงสัยว่าเธอถูกจัดฉากมาเพื่อ “สร้างสถานการณ์”
🧕 เปิดใจ “นโรดม แพน โมนิกา” กับเบื้องหลังการเดินทางเยือนปราสาท
หลังจากเหตุการณ์ได้รับความสนใจอย่างมาก “นโรดม แพน โมนิกา” ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอชี้แจงความจริงในมุมของเธอ โดยกล่าวว่า:
“ขอสวัสดีพี่น้องอีกครั้ง ตามเหตุที่เกิดขึ้น ฉันและพี่น้อง พร้อมเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศไม่เคยเห็นปราสาทตาเมือนธม เขาอยากมาดูปราสาท แต่ตนเองเคยมาแล้วกับบริษัทครั้งหนึ่งแล้ว”
เธออธิบายว่าการมาครั้งนี้เกิดจากความต้องการของเพื่อนชาวกัมพูชาที่อยู่ต่างประเทศซึ่งอยากมาชมโบราณสถาน ไม่ได้มีเจตนาล้ำแดนหรือก่อความวุ่นวายใด ๆ เธอเพียงสวมใส่เสื้อที่มีภาพของปราสาทเขาพระวิหาร และผ้าขาวม้าที่มีรูปธงชาติกัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องปกติในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่กลับกลายเป็นปัญหา เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารไทยไม่อนุญาตให้เธอเดินขึ้นไปยังบริเวณปราสาท เธอจึงเลือกที่จะนั่งรออยู่ด้านล่าง โดยให้เพื่อน ๆ ขึ้นไปแทน
😶 ความเข้าใจผิด? หรือ ความอ่อนไหวทางการเมือง?
โมนิกาเล่าต่อว่า ในระหว่างที่รอเพื่อนอยู่ ก็มีชาวไทย 2 คน มาพูดคุยกันใกล้ ๆ พร้อมพูดว่า “แผ่นดินตรงนี้เป็นของไทย” ซึ่งเธอฟังออก แต่ไม่ได้พูดโต้ตอบเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ
ต่อมามีคนไทยเข้ามาไล่เธอให้ออกไป โดยกล่าวว่า “ที่นี่เป็นแผ่นดินไทย” ให้เธอออกไปอยู่บริเวณอื่น เธอจึงโต้ตอบไปว่า “ตนก็อยู่ที่ตีนปราสาทของตน ไม่ได้อยู่บนแผ่นดินไทย ทำไมถึงได้มาไล่”
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอรู้สึกว่า ถูกคุกคามทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด โดยกล่าวว่า:
“ช่วยเมตตา อย่าเอาวิดีโอของตนเองไปตัดต่อให้เสียหาย ทั้งหมดไม่ใช่การแสดงทั้งสิ้น ตนส่งเสียงดังเพราะรู้สึกไม่เป็นธรรม พี่น้องทหารเขมรเลยพากันวิ่งมาดู”
🌏 ปราสาทตาเมือนธม: โบราณสถานบนเส้นชายแดนอันเปราะบาง
ปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา เป็นหนึ่งในโบราณสถานของกลุ่ม “ปราสาทตาเมือน” ซึ่งประกอบไปด้วยปราสาทตาเมือนน้อย ปราสาทตาเมือน และปราสาทตาเมือนธม
แม้จะอยู่ในเขตแดนประเทศไทย แต่ตัวปราสาทนั้นตั้งอยู่ใกล้ชายแดนและเป็นจุดที่มีข้อพิพาทระหว่างสองประเทศมานาน การเคลื่อนไหวใด ๆ ในบริเวณนี้ มักเป็นที่จับตาจากทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ฝ่ายปกครอง และสื่อมวลชน
จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ ปราสาทกลุ่มนี้ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของ “อาณาจักรขอมโบราณ” ซึ่งเคยปกครองดินแดนส่วนนี้ ทำให้ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา ต่างมีความผูกพันทางวัฒนธรรมต่อโบราณสถานแห่งนี้อย่างลึกซึ้ง
📌 ผลกระทบที่ตามมา: จาก “การท่องเที่ยว” สู่ “ความขัดแย้งข้ามพรมแดน”
แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจดูเป็นการเข้าใจผิดระหว่างบุคคลและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ แต่ด้วยความอ่อนไหวของบริบทด้านพื้นที่และประวัติศาสตร์ จึงส่งผลให้ความขัดแย้งขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
การปรากฏตัวของหญิงสาวชาวกัมพูชาพร้อมเครื่องแต่งกายที่แฝงสัญลักษณ์ชาติ ทำให้ฝ่ายไทยบางกลุ่มมองว่าเป็น “การยั่วยุเชิงสัญลักษณ์” แม้เธอจะไม่มีเจตนาดังกล่าว
ในทางกลับกัน ฝ่ายกัมพูชากลับมองว่า เธอถูก “ปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม” โดยเฉพาะเมื่อคลิปเหตุการณ์ถูกเผยแพร่และวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์
📱 บทบาทของโซเชียลมีเดีย: เครื่องมือสื่อสาร หรือ อาวุธแห่งการบิดเบือน?
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เหตุการณ์บานปลาย คือ โซเชียลมีเดีย ซึ่งมีการแชร์คลิปวิดีโอของโมนิกาจำนวนมาก บางคลิปถูกตัดต่อจนทำให้เข้าใจว่าเธอเป็นฝ่ายเริ่มก้าวร้าว ขณะที่บางโพสต์ใส่คำบรรยายว่าเธอ “แสดงละคร” เพื่อปลุกปั่นความรู้สึกของสาธารณชน
โมนิกาได้ออกมาขอร้องว่า “อย่านำคลิปของตนไปตัดต่อสร้างความเสียหาย” พร้อมยืนยันว่า “ทั้งหมดเป็นความรู้สึกจริง ไม่ใช่การแสดง”
---
🕊 ข้อคิดจากเหตุการณ์: ทางออกอยู่ที่การสื่อสารและสันติวิธี
กรณีของนโรดม แพน โมนิกา เป็นกรณีศึกษาอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนว่า พื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ต้องการการบริหารจัดการอย่างระมัดระวัง
ไม่ว่าจะเป็นประชาชนไทยหรือกัมพูชา ต่างมีความรู้สึกผูกพันกับดินแดนและโบราณสถานที่เป็นมรดกร่วมของอารยธรรมขอม เราควรหันมาใช้ "การทูตระดับประชาชน" เพื่อสร้างความเข้าใจ แทนที่จะปล่อยให้ความไม่พอใจเล็กน้อยกลายเป็นชนวนความขัดแย้งข้ามประเทศ
✍ สรุป
เหตุการณ์หญิงกัมพูชา “นโรดม แพน โมนิกา” ชี้หน้าทหารไทยที่ปราสาทตาเมือนธม แม้จะเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ อย่างการสวมเสื้อที่มีภาพโบราณสถาน แต่เมื่อเกิดขึ้นในบริบทของพื้นที่พิพาทและความอ่อนไหวทางประวัติศาสตร์ จึงกลายเป็นเหตุการณ์ที่ต้องจับตา
เสียงของเธอที่ออกมาพูดว่า “ทั้งหมดไม่ใช่การแสดง” เป็นเครื่องสะท้อนว่า ในโลกแห่งความขัดแย้ง เราต้องการความเข้าใจมากกว่าการตัดสิน และในยุคที่โซเชียลมีเดียสามารถเปลี่ยนความจริงให้เป็นสิ่งที่บิดเบือนได้ในพริบตา การฟังอีกฝ่ายด้วยใจเป็นธรรมจึงสำคัญยิ่งกว่าเดิม
หากคุณเห็นด้วยกับบทความนี้หรือมีความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สามารถแสดงความคิดเห็นด้านล่าง เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างสร้างสรรค์และเคารพในความต่างของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์






