เดือดชายแดน! วาสนา นาน่วม แฉ เขมรวางทุ่นระเบิดใหม่กว่า 300 ลูก ทหารไทยเจ็บ 3
ด่วน! ทหารไทยบาดเจ็บ 3 นายจากกับระเบิดใหม่ในเขตชายแดน หลังพบกัมพูชาติดตั้งสนามทุ่นระเบิดใหม่กว่า 300 ลูก ละเมิดสนธิสัญญาออตตาอย่างร้ายแรง
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กลับมาร้อนระอุอีกครั้งหลังเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจและกระตุ้นให้สังคมหันมาจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ ทหารไทย 3 นาย ประสบอุบัติเหตุเหยียบกับระเบิด ระหว่างปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนในพื้นที่ ช่องบก ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งอยู่ติดชายแดนกัมพูชา
ในช่วงแรกมีรายงานเบื้องต้นว่าเป็น กับระเบิดเก่าที่ตกค้างมาจากสมรภูมิในอดีต อย่างไรก็ตาม ความจริงที่เพิ่งถูกเปิดเผยโดย วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหารชื่อดัง ได้นำมาซึ่งความตระหนกตกใจแก่ประชาชน เมื่อพบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจาก สนามทุ่นระเบิดใหม่ที่กัมพูชาเพิ่งติดตั้งในพื้นที่ช่องบก โดยการกระทำนี้ถือเป็นการ ละเมิดสนธิสัญญาระหว่างประเทศ อย่างร้ายแรง ทั้ง สนธิสัญญาออตตา (Ottawa Treaty) และ บันทึกความเข้าใจร่วม MoU ปี 2543
ทหารไทยเจ็บหนัก! ขณะลาดตระเวนชายแดน เหยียบกับระเบิดใหม่ใน “สนามทุ่นระเบิด” กัมพูชาติดตั้งล่าสุด
จากรายงานข่าวความมั่นคง ซึ่ง วาสนา นาน่วม เปิดเผยผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่าง ทหารไทยกับทหารกัมพูชาในบริเวณช่องบ สามเหลี่ยมมรกต ความตึงเครียดบริเวณชายแดนเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น
ในเดือนมิถุนายน 2568 ทางฝั่งกัมพูชาเริ่มดำเนินการติดตั้ง สนามทุ่นระเบิด ในบริเวณช่องบก ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ใกล้เคียงจุดปะทะเดิม แม้จะมีการเจรจาเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ โดยที่ฝั่งกัมพูชาได้ยินยอมถอนกำลังจากที่มั่นแนวหน้ากลับออกไป ทว่ากลับปรากฏหลักฐานว่า ได้มีการลักลอบติดตั้งสนามกับระเบิดขึ้นก่อนหน้า
จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกของหน่วยข่าวกรองทางทหาร พบว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ติดตั้งสนามทุ่นระเบิดจำนวน 335 ลูก โดยมีการกระจายทุ่นระเบิดเพิ่มเติมในจุดยุทธศาสตร์อย่าง เนินโนเนม จำนวน 120 ลูก ทั้งยังมีรายงานว่าทหารกัมพูชาได้รับทุ่นระเบิดเพิ่มอีก 106 ลูก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น กับระเบิดสังหารบุคคล (anti-personnel landmines) ที่ถูกห้ามตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ
การละเมิด “สนธิสัญญาออตตา” และ “MoU 2543” การกระทำที่ทั่วโลกจับตามอง
การนำทุ่นระเบิดกลับมาติดตั้งในพื้นที่ชายแดน ถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างยิ่งในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ กัมพูชา และ ประเทศไทย ต่างก็เป็นภาคีร่วมของ สนธิสัญญาออตตา (Ottawa Treaty หรือ Mine Ban Treaty) ซึ่งลงนามเมื่อปี ค.ศ. 1997 มีข้อผูกพันชัดเจนในเรื่อง:
ห้ามผลิต
ห้ามสะสม
ห้ามถ่ายโอน
ห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
และต้อง ทำลายคลังทุ่นระเบิดที่มีอยู่ทั้งหมด
นอกจากนี้ ประเทศไทยและกัมพูชายังเคยลงนามใน MoU 2543 ว่าด้วยการดำเนินการแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนอย่างสันติ ซึ่งห้ามทั้งสองฝ่ายใช้กำลังหรือเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศเพื่อให้เกิดข้อได้เปรียบทางทหาร
ด้วยเหตุนี้ การที่ ฝ่ายกัมพูชาได้นำทุ่นระเบิดใหม่เข้ามาติดตั้งในพื้นที่ชายแดนช่องบก จึงถือเป็นการกระทำที่ละเมิดทั้ง อนุสัญญาระหว่างประเทศ และ ข้อตกลงทวิภาคี อย่างร้ายแรง
“ทุ่นระเบิด” ไม่เพียงทำร้ายศัตรู แต่ยังทำลายชีวิตผู้บริสุทธิ์
แม้ในทางทหาร ทุ่นระเบิดจะถูกมองว่าเป็น “อาวุธป้องกันพื้นที่” ที่มีประสิทธิภาพ แต่ในความเป็นจริง ทุ่นระเบิดกลับสร้างความสูญเสียในหมู่ประชาชนผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่ที่ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปในเขตอันตราย มาโดยตลอด
จากสถิติทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากกับระเบิดกว่า 5,000 คนต่อปี โดยในหลายกรณีเป็นเด็กและประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ใกล้แนวชายแดน
ในกรณีของประเทศไทย จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี คือพื้นที่ที่ยังมีเขตอันตรายจากทุ่นระเบิดตกค้างนับพันลูก ซึ่งหลายภาคส่วนพยายามร่วมกันกวาดล้างและฟื้นฟูมาเป็นเวลากว่าสองทศวรรษ หากแต่การนำทุ่นระเบิดกลับมาติดตั้งอีกในปี 2568 นี้ ย่อมเป็นการ ย้อนรอยบาดแผลของสงคราม ให้กลับมาสร้างความหวาดกลัวอีกครั้ง
เสียงจากประชาชนชายแดน: “พวกเรากลัวว่าจะเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว”
ชาวบ้านในพื้นที่ ต.โดมประดิษฐ์ จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า “หลังเกิดเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ทุกคนในหมู่บ้านต่างหวาดกลัว ลูกหลานออกไปหาของป่าก็กลัวว่าจะไปเหยียบกับระเบิดเข้าโดยไม่รู้ตัว”
อีกทั้งยังมีข้อเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งเจรจากับกัมพูชาอย่างเป็นทางการ พร้อมผลักดันให้คณะกรรมการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา (GBC) ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อป้องกันเหตุซ้ำรอย
ทางออกและข้อเสนอแนะ: เพื่อความปลอดภัยของทหารและประชาชน
เพื่อป้องกันการสูญเสียเพิ่มเติมจากกับระเบิดและความตึงเครียดในเขตชายแดน รัฐบาลไทยควรดำเนินการดังนี้:
1. เรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบ และหยุดการติดตั้งทุ่นระเบิดทันที
2. นำเรื่องเข้าสู่เวทีระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยอ้างอิงการละเมิดสนธิสัญญาออตตา
3. จัดส่งชุดเก็บกู้ระเบิด (EOD) เข้าเคลียร์พื้นที่ชายแดนโดยเร่งด่วน
4. ให้การเยียวยาแก่ทหารผู้ได้รับบาดเจ็บและครอบครัว
5. ติดตั้งป้ายเตือนและรั้วลวดหนามรอบพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อไม่ให้ประชาชนเดินเข้าโดยไม่รู้ตัว
สรุป: กับระเบิดไม่ใช่แค่ปัญหาชายแดน แต่เป็นภัยที่คุกคามสันติภาพ
เหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดใหม่ ซึ่งเป็นผลพวงจากการติดตั้งสนามทุ่นระเบิดของกัมพูชา ถือเป็นการกระทำที่ ละเมิดสนธิสัญญาระหว่างประเทศ และ ข้อตกลงทวิภาคี อย่างรุนแรง พร้อมก่อให้เกิดความเสียหายทั้งในด้านชีวิต ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การที่ประเทศไทยจะรักษาอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน จำเป็นต้องใช้แนวทางเชิงรุกอย่างชาญฉลาด บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศและความร่วมมือในภูมิภาค เพื่อไม่ให้เกิด “สงครามทุ่นระเบิด” ที่ไม่มีวันจบสิ้นอีกต่อไป



