กันไม่ทน! โต้เดือดกัมพูชา ปมปราสาทตาเมือนรม ลั่นคำเดียว: สาสม!
เหลี่ยมจัดเจอเหลี่ยมกว่า! ทีมงานปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยว สกัดชาวกัมพูชาปลอมตัวเป็นคนไทย ลอบเข้าไทยผิดกฎหมาย
จากสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้ปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ที่มักเกิดเหตุการณ์ชาวกัมพูชาแฝงตัวเข้ามายังฝั่งไทยแบบผิดกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ทีมงานของเราตัดสินใจส่งเจ้าหน้าที่ปลอมตัวเป็น “นักท่องเที่ยว” ออกตรวจสอบสถานการณ์จริงในพื้นที่ เพื่อตรวจจับการกระทำผิดที่อาจหลบเลี่ยงสายตาของเจ้าหน้าที่รัฐทั่วไป
ภารกิจลับปลอมเป็นนักท่องเที่ยว ตามจับผู้ลักลอบเข้าเมือง
ทีมงานเราลงพื้นที่แบบแนบเนียน โดยแต่งตัวเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย เดินเก็บภาพบรรยากาศและดูพฤติกรรมบุคคลที่ต้องสงสัยในย่านตลาดชายแดน ที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ และมักมีแรงงานข้ามชาติสัญชาติกัมพูชาแฝงตัวอยู่เสมอ
ระหว่างการเดินตรวจสอบ บริเวณตลาดชุมชนใกล้กับปราสาทตาเมือน ทีมงานได้พบหญิงคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมทาง ท่าทางมีพิรุธ พอเห็นกล้องถ่ายภาพและทีมงานเดินเข้าใกล้ หญิงรายนั้นกลับรีบลุกขึ้นแล้ว “วิ่งหนีสุดชีวิต” ด้วยท่าทางหวาดกลัวเหมือนกำลังหลบเลี่ยงการจับกุม
เธอหายตัวไปอย่างรวดเร็ว แต่มีพลเมืองดีรายหนึ่งรีบเดินมาบอกกับทีมงานว่า เห็นหญิงคนดังกล่าววิ่งเข้าไปหลบอยู่ในห้องน้ำสาธารณะ ทีมงานจึงรีบประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ให้เข้าช่วยสังเกตการณ์
วางแผนจับกุม เผยพิรุธปลอมตัวเป็นคนไทย
ตำรวจและทีมงานร่วมกันเฝ้ารออย่างเงียบ ๆ จนหญิงคนดังกล่าวออกมาจากห้องน้ำในลักษณะระแวดระวังแต่ชะล่าใจคิดว่าไม่มีใครตามอยู่แล้ว ทีมงานจึงเข้าถามเธอทันทีว่า “เป็นคนประเทศอะไร?”
หญิงคนนั้นตอบด้วยภาษาไทยแต่มีสำเนียงชัดเจนว่าเป็นชาวกัมพูชา เธอยืนยันว่าเป็น “คนไทยจังหวัดสุรินทร์” แต่เมื่อทีมงานขอให้ร้องเพลงลอยกระทงให้ฟัง เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นคนไทยจริงตามที่อ้าง หญิงคนดังกล่าว “ร้องไม่ได้” แถมยังมีสีหน้าลุกลี้ลุกลน
เพื่อความแน่ใจ ทีมงานจึงเปลี่ยนบททดสอบให้เธอลอง “ร้องเพลงชาติไทย” แทน ซึ่งเธอก็ “ร้องไม่ได้อีกเช่นกัน” ทำให้เริ่มเห็นชัดเจนว่าเธอน่าจะไม่ใช่คนไทยจริงตามที่กล่าวอ้าง
เปิดโปงด้วยมือถือ! พบใช้ภาษากัมพูชาในโทรศัพท์
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของหญิงคนดังกล่าว และพบว่า “ภาษาที่ใช้ในโทรศัพท์ทั้งหมดเป็นภาษากัมพูชา” ซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ชี้ชัดว่าเธอเป็นชาวกัมพูชาอย่างแน่นอน
เมื่อถูกสอบสวนอย่างละเอียด หญิงคนนี้จึงยอมรับว่าเธอเป็น “ชาวกัมพูชา” ที่ลักลอบเข้ามาในประเทศไทย “แบบผิดกฎหมาย” และพยายาม “ปลอมตัวเป็นคนไทย” เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม โดยอาศัยการพูดไทยแบบเลียนเสียงและแอบอ้างภูมิลำเนาในจังหวัดสุรินทร์
สรุปผลการจับกุม – เหลี่ยมจัดเจอเหลี่ยมกว่า
สุดท้ายแล้ว ความพยายามของหญิงรายนี้ในการปลอมตัวเป็นคนไทยก็ไปไม่รอด เพราะทีมงานมีวิธีตรวจสอบเชิงลึกที่ยากจะเลี่ยงพ้น และเมื่อเธอไม่สามารถร้องเพลงลอยกระทงหรือเพลงชาติไทยได้ ก็กลายเป็นช่องโหว่ให้ถูกเปิดโปง
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงดำเนินการจับกุมหญิงรายนี้ตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และเตรียมผลักดันกลับประเทศต้นทางทันที
ฝากถึงชาวกัมพูชา – ถ้าอยากปลอมเป็นคนไทย “ฝึกร้องเพลงไทยให้ได้ก่อน!”
เรื่องนี้แม้จะดูเหมือนตลก แต่ก็สะท้อนถึงความจริงจังของปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ที่ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาในแง่ความมั่นคงของชาติ แต่ยังรวมไปถึงความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ด้วย
หากชาวกัมพูชาบางรายยังคงพยายามปลอมตัวเป็นคนไทย ทางเราขอแนะนำอย่าง “ขำขันแต่จริงใจ” ว่า อย่างน้อยก็ควรฝึกร้องเพลงลอยกระทงกับเพลงชาติไทยให้ได้เสียก่อน! เพราะหากเจอทีมงานเราอีกครั้ง จะมีบททดสอบแบบเดียวกันรออยู่เสมอ ใครร้องได้ “พิจารณาเป็นพิเศษ” (แน่นอนว่าหมายถึง…จับแบบนุ่มนวล)
ประเด็นสำคัญที่สังคมต้องจับตา
การลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมาย ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังในพื้นที่ชายแดนที่ต้องใช้ความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ชาวบ้านในพื้นที่ หรือแม้แต่สื่อมวลชน
การปลอมตัวเป็นคนไทย ด้วยการแอบอ้างจังหวัดหรือพูดภาษาไทยแบบฝึกจำมาเฉพาะนั้น อาจใช้ได้ผลกับบางคน แต่ไม่สามารถรอดพ้นจากการสอบสวนเชิงลึกได้
การใช้บทเพลงประจำชาติ เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความเป็น “ไทยแท้” อาจดูแปลกใหม่ แต่เป็นวิธีที่ทีมงานเราพบว่ามีประสิทธิภาพอย่างไม่น่าเชื่อ
สรุป
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการจับกุมแรงงานผิดกฎหมาย แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่า “เหลี่ยมจัดเจอเหลี่ยมกว่า” ยังใช้ได้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อเจอกลุ่มที่พยายามลอบเข้ามาแบบแนบเนียนในยุคที่การตรวจสอบต้องรวดเร็วและแม่นยำ
หากใครมีพฤติกรรมที่เข้าข่าย ต้องเตรียมตัวรับมือกับการสอบสวนที่อาจมาในรูปแบบไม่คาดฝัน เช่น การร้องเพลงหรือท่องบทกลอนไทยก็เป็นได้!






