เพจดังตั้งคำถาม! ปม ‘สีกา กอล์ฟ’ เทียบเคส ‘แพรรี่-สมปอง’ ทำไมมาตรฐานไม่เท่ากัน?
ย้อนรอยดราม่า “แพรรี่-พระมหาสมปอง” ไลฟ์สดเทศน์ธรรม จนเป็นไวรัล ก่อนถูกเรียกสอบ และลาสิกขา จุดเปลี่ยนวงการผ้าเหลืองที่สังคมยังพูดถึงไม่รู้จบ
หากพูดถึงปรากฏการณ์หนึ่งในโลกโซเชียลที่สร้างแรงกระเพื่อมในวงการสงฆ์ไทยอย่างมากในช่วงปี 2564 คงหนีไม่พ้นกรณีของ “พระมหาไพรวัลย์ วรวณโณ” หรือที่คนในโลกออนไลน์รู้จักกันในชื่อ แพรรี่ และ “พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต” ที่จับมือกันเปิดไลฟ์สดผ่าน Facebook พูดคุยธรรมะในสไตล์ใหม่แบบที่คนไม่เคยเห็นมาก่อน จนกลายเป็นกระแส "พระนักเทศน์ไวรัล" ที่มียอดรับชมถล่มทลายเกิน 2 แสนคนพร้อมกัน แต่ในความสำเร็จกลับมีแรงต้านจากฝ่ายผู้ใหญ่ในวงการผ้าเหลือง นำไปสู่การถูกเรียกสอบเรื่องความเหมาะสม สุดท้ายทั้งคู่ตัดสินใจลาสิกขา กลายเป็นเรื่องที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรง
จุดเริ่มต้นของ “พส.” ไลฟ์ไวรัลแห่งปี
ต้นตอของปรากฏการณ์นี้เกิดจากไลฟ์สดผ่าน Facebook ที่มีชื่อเรียกสั้น ๆ ว่า “พส.” ซึ่งย่อมาจากคำว่า “พระสงฆ์” แต่เล่นคำให้คล้ายกับศัพท์วัยรุ่น “พี่สาว” หรือ “เพื่อนสาว” ที่นิยมใช้กันในหมู่ LGBTQ+ ทำให้เกิดความตลกขบขันและดูเป็นกันเอง ทั้ง พระมหาไพรวัลย์ และ พระมหาสมปอง ต่างมีเอกลักษณ์ในการพูดธรรมะแบบร่วมสมัย ใช้ภาษาเข้าใจง่าย เสริมมุกตลก และหยิบเรื่องใกล้ตัวมาเชื่อมโยงกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
สิ่งเหล่านี้ทำให้ไลฟ์สดของทั้งคู่ได้รับความนิยมอย่างมาก ไม่ใช่แค่จากคนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่แม้แต่แบรนด์สินค้า, เพจข่าวดัง, นักแสดง, ดารา และสื่อมวลชนก็พากันเข้าไปชมและคอมเมนต์กันแบบไม่ได้นัดหมาย
ปรากฏการณ์ “พส.” กับภาพลักษณ์ใหม่ของพระสงฆ์
ในมุมหนึ่ง หลายคนมองว่า สิ่งที่สองพระนักเทศน์ทำคือการ ปรับภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ไทยให้ทันสมัย เป็นมิตร และเข้าถึงได้ โดยไม่ลดทอนสาระของคำสอน แต่กลับกัน ฝ่ายที่เคร่งครัดทางพระวินัยและศีลาจารวัตรก็มองว่า วิธีการดังกล่าวอาจ “เกินกรอบ” และ “ขาดความสำรวม” ของสมณะเพศ ซึ่งควรเป็นผู้สงบเสงี่ยม
เสียงสะท้อนจาก “พระผู้ใหญ่” และการสอบสวน
หนึ่งในเสียงสะท้อนที่สำคัญมาจาก พระเทพปฏิภาณวาที หรือ เจ้าคุณพิพิธ แห่งวัดสุทัศนเทพวรารามฯ ซึ่งออกมาแสดงความเห็นในขณะนั้นว่า การแสดงธรรมผ่านโซเชียลมีเดียถือเป็น “แนวใหม่” ที่น่าสนใจ และควรให้โอกาส แต่ก็ยอมรับว่ายังมีฝ่ายพระผู้ใหญ่หลายรูป “ไม่ปลื้ม” กับรูปแบบดังกล่าว
ในเวลาต่อมา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จึงได้เชิญพระทั้งสองรูปเข้าสอบสวนเพื่อพิจารณาว่าเข้าข่ายผิด พระวินัยสงฆ์ หรือไม่ ซึ่งสุดท้ายคณะกรรมการพิจารณาแล้ว ไม่พบการกระทำผิดวินัยสงฆ์โดยตรง แต่แนะนำให้ระมัดระวังในพฤติกรรมบางประการ เช่น การแสดงออก การใช้ถ้อยคำ หรือการพูดเรื่องที่ไม่เหมาะสมในบริบทของสมณะ
การตัดสินใจลาสิกขา: จุดเปลี่ยนของทั้งคู่
แม้ผลสอบจะระบุว่า “ไม่ผิดวินัยสงฆ์” แต่แรงกดดันจากหลายฝ่ายทั้งในและนอกวงการศาสนา รวมถึงความอึดอัดใจของทั้งสองพระรูปเอง นำไปสู่การตัดสินใจ ลาสิกขา ในเวลาต่อมา
โดย พระมหาไพรวัลย์ ลาสิกขาในเดือนธันวาคม 2564 และเริ่มใช้ชื่อ “แพรรี่” ในชีวิตหลังผ้าเหลือง กลายเป็น influencer ที่ยังคงสื่อสารธรรมะในมุมที่เป็นกลาง และเน้นเสรีภาพทางความคิด
ในขณะที่ พระมหาสมปอง ก็ลาสิกขาเช่นกัน และหันไปดำเนินกิจกรรมในเชิงบันเทิงและสังคม โดยยังยืนหยัดในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง
การใช้มาตรฐานเดียวกันในวงการผ้าเหลือง: ข้อเรียกร้องจากเพจ “Drama-Addict”
ล่าสุดประเด็นเก่ากลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง เมื่อเพจดังอย่าง Drama-Addict ออกมาโพสต์เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบ กรณี "สีกากอล์ฟ" และพระชั้นผู้ใหญ่หลายสิบรูป อย่างโปร่งใสและเที่ยงธรรม พร้อมตั้งคำถามเชิงเปรียบเทียบว่า “ทำไมกรณีของแพรรี่กับพระมหาสมปองที่เพียงแค่ไลฟ์สดธรรมะ ยังถูกเรียกสอบ ทั้งที่ไม่ได้กระทำผิดจริยธรรมอย่างชัดเจน แต่กรณีอื่นกลับยังไม่มีความชัดเจน?”
เพจ Drama-Addict ย้ำว่า “ควรใช้ มาตรฐานเดียวกัน กับทุกกรณี เพื่อรักษาความศรัทธาในวงการพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ ไม่เช่นนั้นประชาชนจะเริ่มตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในการบังคับใช้กฎเกณฑ์”
สะท้อนบทเรียน: การปรับตัวของศาสนากับยุคโซเชียล
กรณีของ “แพรรี่” และ “พระมหาสมปอง” เป็นกรณีศึกษาสำคัญที่สะท้อนว่า ศาสนากับเทคโนโลยีสามารถอยู่ร่วมกันได้ หากมีการปรับตัวอย่างเหมาะสม จุดสำคัญอยู่ที่ “เจตนา” และ “เนื้อหา” ไม่ใช่เพียงแค่ “รูปแบบภายนอก”
เมื่อพฤติกรรมที่ไม่ละเมิดศีลธรรมกลับถูกมองว่าไม่เหมาะสม ในขณะที่การกระทำผิดจริยธรรมกลับมีการเพิกเฉย เท่ากับว่า เราอาจกำลังสร้างมาตรฐานสองชั้นให้กับวงการผ้าเหลืองโดยไม่รู้ตัว
สรุป: ดราม่าพส ที่ไม่ควรถูกลืม
ย้อนกลับไปทบทวนเหตุการณ์ “แพรรี่-พระมหาสมปอง” เราจะพบว่า นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของพระสองรูปที่ไลฟ์สดธรรมะจนกลายเป็นไวรัล แต่เป็นเรื่องของความพยายามในการนำศาสนาเข้ามาใกล้ชิดกับคนรุ่นใหม่ เป็นการเสนอแนวทางใหม่ในการสื่อสารธรรมะในยุคดิจิทัล
แม้สุดท้ายจะนำไปสู่การลาสิกขา แต่ทั้งคู่ยังคงทำหน้าที่ “เผยแผ่ความดี” ในรูปแบบใหม่ และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนจำนวนมากว่า การเป็น “คนดี” ไม่จำเป็นต้องมีผ้าเหลืองห่มกาย






