ฮุน เซนขู่แรง! “ไทยอย่าบังอาจล้อมรั้วปราสาทตาเมือน” ลั่นเดือดกลางวงประชุม
ดุเดือด! “ฮุน เซน” เตือนไทยอย่าคิดสร้างรั้วรอบ “ปราสาทตาเมือนธม” อาจนำไปสู่สงคราม กัมพูชาไม่ยอมถูกท้าทายอธิปไตย
กรุงพนมเปญ, 15 กรกฎาคม 2568 – สื่อดังของกัมพูชา Khmer Times รายงานข่าวที่สร้างความสั่นสะเทือนในวงการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยระบุว่า สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ทรงอิทธิพลของประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ประเทศไทยอย่างแข็งกร้าว หลังมีข่าวว่าไทยเตรียม “สร้างรั้วล้อมรอบ” บริเวณ “ปราสาทตาเมือนธม” ซึ่งตั้งอยู่ในเขตชายแดนระหว่างสองประเทศ
“ช่วงนี้เขาอยากทำรั้วรอบปราสาทตาเมือนธม ลองดูสิ!” – คำกล่าวที่สะท้อนถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจนจากผู้นำรุ่นใหญ่ของกัมพูชา พร้อมย้ำว่า “พวกเขายังได้ขู่ว่าจะโจมตี จ.พระตะบัง จ.เสียมเรียบ และพนมเปญ ลองดูสิ! ตนไม่ได้จะทำสงคราม แต่เรากำลังเตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่อาจจะมาถึง”
คำพูดของ สมเด็จฮุน เซน จุดกระแสความกังวลอย่างมากในวงการทูต เพราะสะท้อนถึงความตึงเครียดที่อาจนำไปสู่ “วิกฤตการณ์ชายแดน” รอบใหม่ในภูมิภาคอาเซียน
ปราสาทตาเมือนธม: จุดยุทธศาสตร์แห่งความขัดแย้ง
“ปราสาทตาเมือนธม” เป็นหนึ่งในโบราณสถานยุคขอม ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงรัก ในเขตชายแดนระหว่าง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ของประเทศไทย และ จังหวัดอุดรมีชัย ของกัมพูชา โบราณสถานแห่งนี้มีความสำคัญทั้งทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และทางยุทธศาสตร์
แม้ตัวปราสาทจะตั้งอยู่ในเขตประเทศไทยในปัจจุบัน แต่กัมพูชามักยืนยันว่าปราสาทแห่งนี้ถือเป็น “มรดกขอม” และอยู่ในพื้นที่พิพาทที่ยังไม่ชัดเจน จึงทำให้กรณี “การสร้างรั้ว” ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องภายใน กลับกลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศทันที
คำเตือนที่ไม่ธรรมดา: เมื่อ "ลองดูสิ!" กลายเป็นคำขู่ทางการทูต
คำพูดของ สมเด็จฮุน เซน ที่ใช้คำว่า “ลองดูสิ!” ถึง 2 ครั้ง ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดประชดหรือการแสดงความคิดเห็นธรรมดา หากแต่เป็นการสื่อสารทางการเมืองที่แสดงถึง “ท่าทีขึงขัง” และการส่งสัญญาณเตือนต่อรัฐบาลไทยว่า กัมพูชาจะไม่ยอมให้มีการละเมิดอธิปไตย หรือการดำเนินการใดๆ โดยฝ่ายเดียวในพื้นที่ที่ยังมีความอ่อนไหว
เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า “กัมพูชาไม่ต้องการความขัดแย้ง แต่จะไม่ยืนเฉยหากมีการท้าทายอำนาจอธิปไตย” ซึ่งเป็นการส่งสารสำคัญถึงฝ่ายไทยว่า แม้จะไม่จงใจจะทำสงคราม แต่พร้อมที่จะป้องกันประเทศหากจำเป็น
ความเปราะบางของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
ประเทศไทยและกัมพูชาเคยเกิดความขัดแย้งทางชายแดนหลายครั้งในอดีต โดยเฉพาะกรณี “ปราสาทพระวิหาร” ที่เคยนำไปสู่การปะทะทางทหารในช่วงปี 2551-2554 และต้องให้ศาลโลก (ICJ) เป็นผู้วินิจฉัย ซึ่งท้ายที่สุดศาลได้ตัดสินให้พื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา
กรณีปราสาทตาเมือนธม อาจดูเล็กกว่าในเวทีระหว่างประเทศ แต่ในเชิงสัญลักษณ์แล้ว กลับมีความหมายมหาศาลสำหรับทั้งสองประเทศ และความเคลื่อนไหวล่าสุดของไทยที่ “อาจจะสร้างรั้ว” จึงทำให้ฝ่ายกัมพูชารู้สึกว่า “ถูกท้าทาย” อีกครั้งหนึ่ง
ความเคลื่อนไหวของฝ่ายไทย
แม้ทางการไทยจะยังไม่มีการแถลงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ข่าวจากวงการทหารและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไทยระบุว่า การสร้างรั้วในบริเวณชายแดนเป็นเรื่องปกติที่ไทยมีสิทธิดำเนินการในพื้นที่ของตน เพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดนและปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในพื้นที่ที่กัมพูชามองว่าเป็น “พื้นที่อ่อนไหว” ก็ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง และควรมีการหารือผ่านช่องทางทูตมากกว่าการลงมือฝ่ายเดียว
การตอบสนองในโลกโซเชียลและปฏิกิริยาในประเทศ
หลังข่าวคำพูดของฮุน เซน แพร่กระจายไปในโลกโซเชียล มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนท่าทีแข็งกร้าวของเขา และฝ่ายที่มองว่าเป็นการสร้างความตึงเครียดโดยไม่จำเป็น ขณะที่ชาวเน็ตไทยจำนวนไม่น้อยแสดงความไม่พอใจ โดยมองว่าคำพูดดังกล่าวเป็นการคุกคามอธิปไตยของไทย และเป็นการ “เล่นใหญ่” เพื่อหวังผลทางการเมืองภายในกัมพูชา
วิเคราะห์เชิงลึก: ฮุน เซน กำลังส่งสัญญาณอะไร?
แม้จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ ฮุน เซน ยังคงเป็น “ตัวละครหลัก” ในการเมืองกัมพูชา ทั้งในด้านนโยบายและการกำหนดทิศทางระหว่างประเทศ การออกมาแสดงท่าทีครั้งนี้ จึงอาจไม่ได้เป็นเพียงการตอบโต้ข่าวเรื่อง “รั้วรอบวัด” เท่านั้น แต่อาจเกี่ยวข้องกับ:
- การสร้างฐานเสียงให้กับลูกชายของเขา ฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
- การเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาเศรษฐกิจภายในกัมพูชา
- การแสดงอำนาจต่อชาติพันธมิตรและกลุ่มประเทศอาเซียน
ทางออกคืออะไร? บทเรียนจากอดีต
การแก้ปัญหาชายแดนในภูมิภาคนี้ไม่อาจทำได้โดยการใช้กำลัง หรือการตอบโต้ผ่านสื่อเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องผ่านกระบวนการเจรจาอย่างเปิดเผย โปร่งใส และเคารพในกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น:
ตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชา เพื่อกำหนดเขตแดนอย่างชัดเจน
เปิดเผยแผนผังโบราณสถานโดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียมและข้อมูลจาก UNESCO
ใช้กลไกของอาเซียนหรือสหประชาชาติเป็นคนกลาง หากจำเป็น
สรุป: ความขัดแย้งที่ไม่ควรมองข้าม
กรณี “รั้วรอบปราสาทตาเมือนธม” อาจดูเหมือนเรื่องเล็กน้อยในสายตาคนทั่วไป แต่คำเตือนจาก ฮุน เซน แสดงให้เห็นว่า เรื่องนี้อาจลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งทางการทูต หรือแย่กว่านั้น – ความขัดแย้งทางทหาร
ประเทศไทยจึงควรเดินเกมด้วยความระมัดระวัง ใช้การทูตและกลไกที่สร้างสรรค์เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อพิพาทลุกลามไปสู่ระดับที่ยากจะแก้ไข








