ฟิลิปปินส์เจอภาษีทรัมป์พุ่ง 20% จากเดิม 17% กระทบส่งออก เริ่มบังคับใช้สิงหาคมนี้
ฟิลิปปินส์เจอภาษีทรัมป์พุ่ง 20% จากเดิม 17% กระทบส่งออก เริ่มบังคับใช้สิงหาคมนี้
สหรัฐอเมริกาภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากฟิลิปปินส์เป็น 20% จากเดิม 17% โดยมาตรการดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป ท่ามกลางความกังวลของฟิลิปปินส์ต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกับภาคส่งออก
เหตุผลที่สหรัฐปรับขึ้นภาษี
การขึ้นภาษีครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “reciprocal tariffs” หรือ “ภาษีตอบโต้” ที่ทรัมป์ประกาศไว้ตั้งแต่ช่วงหาเสียง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดปัญหาขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ และกดดันให้ประเทศคู่ค้ากลับมาเจรจาข้อตกลงการค้าที่สหรัฐมองว่ามีความเป็นธรรมมากขึ้น
ประธานาธิบดีทรัมป์ให้เหตุผลว่า หลายประเทศ รวมถึงฟิลิปปินส์ ได้เปรียบด้านภาษีและการค้ากับสหรัฐฯ มานาน จึงต้องมีการปรับอัตราภาษีให้ “เท่าเทียม” หรือสูงพอที่จะสร้างแรงจูงใจให้เกิดข้อตกลงใหม่
ฟิลิปปินส์กังวล กระทบเศรษฐกิจและส่งออก
รัฐบาลฟิลิปปินส์แสดงความกังวลอย่างมากต่อมาตรการใหม่นี้ โดยระบุว่า อัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นจะกระทบต่อสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องนุ่งห่ม และสินค้าเกษตร ที่ตลาดสหรัฐฯ ถือเป็นลูกค้ารายใหญ่
รัฐมนตรีต่างประเทศของฟิลิปปินส์เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ มีแผนจะพบปะกับทรัมป์ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อขอเจรจาลดอัตราภาษีดังกล่าว และผลักดันให้เกิด ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างสองประเทศ
“เราต้องการรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มั่นคงกับสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่ต้องการให้ผู้ประกอบการและประชาชนของเราแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นจากการขึ้นภาษีครั้งนี้” เจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์กล่าว
กระทบทั้งภูมิภาคอาเซียน
ฟิลิปปินส์ไม่ใช่ประเทศเดียวที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของทรัมป์ในรอบนี้ เพราะยังมีประเทศอื่นในอาเซียน เช่น เวียดนาม ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่ถูกจับตามองว่าจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 20–40% ในสินค้าหลายประเภทเช่นกัน
นักวิเคราะห์มองว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ อาจกระทบต่อการไหลเวียนของการค้าในภูมิภาค และทำให้หลายประเทศต้องเร่งหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง
ผลกระทบที่ต้องจับตา
• ต้นทุนการส่งออกสูงขึ้น อาจทำให้สินค้าฟิลิปปินส์ในตลาดสหรัฐฯ มีราคาสูงกว่าคู่แข่ง
• ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) อาจถูกหยิบยกมาเป็นทางออก หากทั้งสองประเทศตกลงกันได้
• การปรับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) บริษัทผู้ผลิตอาจย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ไม่ถูกเก็บภาษีสูง
สถานการณ์นี้ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลการเจรจาระหว่างฟิลิปปินส์และสหรัฐฯ ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้













