ญี่ปุ่นราดซอสหวานผิดสูตร! แผนเอาใจทรัมป์จาก ‘Fantastic!’ กลายเป็น ‘Spoiled!’ ได้ยังไง?”
วันนี้ขอเล่าเรื่องที่ถ้าใครชอบอ่านข่าวการค้าระดับโลก จะต้องร้อง โอ้โห! เพราะมันคือหนึ่งใน กรณีศึกษาแห่งการเอาใจแล้วพลาด ของประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่อง มารยาทและการจัดเลี้ยง อย่าง ญี่ปุ่น ที่พยายามใช้ทั้ง ซูชิ สเต็ก สนามกอล์ฟ และคำหวาน มัดใจ โดนัลด์ ทรัมป์
ให้ได้ดีลการค้าแบบพิเศษ แต่สุดท้ายดันกลายเป็นดาบสองคม ที่ทำให้โดนย้อนศรแบบเจ็บ ๆ
🧩 เรื่องมันเริ่มยังไง?ย้อนกลับไปช่วง ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2017 ทุกคนรู้กันดีว่าเขามาด้วยนโยบาย “America First” หรือ “อเมริกาต้องได้ประโยชน์สูงสุด” — แน่นอนว่าประเทศคู่ค้าทั้งโลกสะดุ้งไปตาม ๆ กัน
ญี่ปุ่นก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะสหรัฐฯ คือ ตลาดส่งออกอันดับ 1 ของญี่ปุ่น ทั้งรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนเทคโนโลยี ทุกอย่างผูกกับตลาดอเมริกาแทบทั้งนั้น ถ้าทรัมป์เกิดลุกขึ้นมาเก็บภาษีรถยนต์ญี่ปุ่นแบบจัดหนัก นั่นหมายถึงโรงงานหลายแสนคนอาจสะเทือน
แล้วญี่ปุ่นเอาใจทรัมป์ยังไง?
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในตอนนั้นคือ ชินโซ อาเบะ เขาเลือกใช้สูตร “มิตรภาพส่วนตัว” เพื่อเจรจาดีล โดยอาเบะบินไปหา ทรัมป์ตั้งแต่วันแรก ๆ พร้อมของขวัญใหญ่:
- เชิญทรัมป์ไปตีกอล์ฟสนามหรูระดับโลก
- จัดโต๊ะซูชิและสเต็กแบบพรีเมียม
- จัดพิธีต้อนรับอลังการให้ครอบครัวทรัมป์
- สร้างบรรยากาศ “เราคือเพื่อนแท้” จนทรัมป์ถึงขั้นชมออกสื่อว่า “Fantastic!”
💵 แล้วผลลัพธ์ล่ะ?
ตอนแรกเหมือนจะไปได้สวย ทรัมป์อ่อนท่าทีเรื่องขึ้นภาษีรถญี่ปุ่นลง ญี่ปุ่นเองก็ยอมซื้อ เนื้อวัวอเมริกัน และ ข้าวโพดอเมริกัน ปริมาณมหาศาล เพื่อตอบแทนและกันไว้ก่อนว่าดีลจะไม่พังแต่ปัญหาคือ… ทรัมป์เป็นทรัมป์
หลังจากได้สิ่งที่อยากได้แล้ว ก็ยังคงขู่ขึ้นภาษีรถยนต์อยู่ดี แถมยังเรียกร้องให้ญี่ปุ่นต้องเปิดตลาดการเกษตรเพิ่ม ต้องลดดุลการค้า ต้องลงทุนโครงการใหญ่ในอเมริกาเพิ่มอีก!พูดง่าย ๆ คือ ญี่ปุ่น เปิดเกมเอาใจไปหมดหน้าไพ่ แต่ทรัมป์ก็ยังขอเพิ่มได้เรื่อย ๆ เพราะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่กล้าปฏิเสธ
🕵️♂️ ผลลัพธ์กลับตาลปัตร
หลายคนในญี่ปุ่นเรียกดีลนี้ว่าเป็น “Spoiled Deal” เพราะแทนที่จะได้การันตีว่า ทรัมป์จะไม่รังแกอุตสาหกรรมรถยนต์ กลับกลายเป็นว่า ญี่ปุ่นต้องยอมให้ข้อแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีสัญญาผูกมัดจริงจัง
ขณะที่ฝั่งเกษตรกรญี่ปุ่นเองก็ไม่พอใจ เพราะการเปิดตลาดเพิ่ม ทำให้สินค้าเกษตรในประเทศเจอการแข่งขันหนักขึ้น แถมยังมีเสียงวิจารณ์ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นยอมมากเกินไปเพื่อแค่รักษาหน้าตาทางการทูต
เศรษฐกิจได้อะไร?
แน่นอนว่าผลบวกมีจริง เช่น
✅ รถญี่ปุ่นยังขายอเมริกาได้ต่อเนื่อง
✅ บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งได้สิทธิ์ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ มากขึ้น
✅ ความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างสองประเทศยังแน่นแฟ้น
แต่ในมุมการเมืองภายใน ญี่ปุ่นเสียแต้มพอสมควร เพราะประชาชนบางส่วนมองว่ารัฐบาลอาเบะ ยอมมากเกินไป โดยไม่มีเงื่อนไขผูกมัดให้ชัดว่า ทรัมป์จะไม่หักหลัง🎭 บทเรียนราคาแพง
กรณีนี้เลยกลายเป็นเคสเรียนรู้ให้หลายประเทศเห็นว่า…
“ทรัมป์จะชมคุณ Fantastic ก็จริง แต่คำชมจะหายวับทันทีถ้าเขามองว่าตัวเองได้ประโยชน์น้อย!”
การพึ่งพาความสัมพันธ์ส่วนตัวมากไปโดยไม่มีข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร สุดท้ายก็เหมือนยื่นเช็คเปล่าให้ทรัมป์ถือ ซึ่งเขาจะเติมเลขกี่หลักก็ได้ตามใจ!
สรุป: จาก Fantastic สู่ Spoiled
วันนี้แม้ทรัมป์จะพ้นตำแหน่งแล้ว แต่รอยร้าวนี้ยังเป็นบทเรียนให้ญี่ปุ่นต้องคิดหนักว่าถ้าวันหนึ่งทรัมป์กลับมาอีกครั้ง… จะต้องเจรจายังไงไม่ให้ “มิตรภาพส่วนตัว” กลายเป็น “บัตรกดดันทางการค้า” แบบคราวก่อน
✅ แล้วคุณล่ะ? คิดว่าประเทศไหนเอาใจทรัมป์สำเร็จบ้าง?
หรือไม่มีใครรอดจริง ๆ?
มาแชร์มุมมองกันหน่อย! 🎌🍣⛳️✨
อ้างอิงจาก: bbc cnn






















