“ก๊ก อาน” เศรษฐีเบอร์ต้นของเขมร ผู้กุมอำนาจเงา ข้างกายฮุนเซน
“ก๊ก อาน” คือใคร? เปิดประวัติเจ้าพ่อปอยเปต เศรษฐีอันดับต้น ๆ กัมพูชา คนสนิท "ฮุน เซน" เชื่อมโยงขบวนการคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา วงการข่าวอาชญากรรมและการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับบุคคลสำคัญระดับประเทศของกัมพูชาอย่าง ฟู ก๊ก อาน หรือที่หลายคนรู้จักในนาม “ก๊ก อาน” เจ้าของรีสอร์ตชื่อดังในปอยเปต และได้รับฉายา “เจ้าพ่อปอยเปต” จากบารมีทางเศรษฐกิจและอิทธิพลทางการเมืองที่แผ่ขยายมาหลายปี
ผู้ทรงอิทธิพลแห่งกัมพูชา กับรากเหง้าทางธุรกิจที่ลึกลับ
ก๊ก อาน เป็นลูกครึ่งเชื้อสายจีน-กัมพูชา เกิดที่จังหวัดเกาะกง ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศกัมพูชา ใกล้ชายแดนติดประเทศไทย เขาเริ่มต้นจากนักธุรกิจท้องถิ่น ก่อนจะขยายอาณาจักรทางธุรกิจเข้าสู่เมืองปอยเปต เมืองชายแดนสำคัญที่อยู่ตรงข้ามกับอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ของไทย และในเวลาต่อมา เขาได้แผ่ขยายกิจการไปยังเมืองท่าหลักอย่างสีหนุวิลล์ เมืองท่องเที่ยวและศูนย์กลางของกาสิโนในประเทศกัมพูชา
ด้วยสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) โดยเฉพาะกับ สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา ทำให้ชื่อของก๊ก อาน ไม่ใช่เพียงแค่นักธุรกิจธรรมดา แต่ยังกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลระดับสูงสุดของกัมพูชา และนั่งตำแหน่ง วุฒิสมาชิกของพรรค CPP ซึ่งเป็นพรรคการเมืองหลักที่ปกครองประเทศมานานหลายทศวรรษ
ธุรกิจในเงามืด: จากกาสิโนสู่แก๊งคอลเซ็นเตอร์
แม้ว่าในสายตาสาธารณชน ก๊ก อาน จะเป็นนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ แต่เบื้องหลังความหรูหราและอาณาจักรธุรกิจของเขากลับถูกตั้งข้อสงสัยและจับตามองอย่างหนักจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะหน่วยงานปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ในประเทศไทย
ล่าสุดมีรายงานว่า ก๊ก อาน ถูกระบุว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ที่ก่อตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในปอยเปตและสีหนุวิลล์ โดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างของกาสิโนและอาคารสูงหลายแห่งของตนเองในการปกปิดกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การหลอกลวงทางโทรศัพท์ (scam call) การฉ้อโกงผ่านแอปปลอม การล่อลวงให้ลงทุนเทรดคริปโต รวมถึงการฟอกเงิน
หนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ทำให้ก๊ก อาน ถูกออกหมายจับโดยศาลอาญาไทย คือ การพบเครือข่ายเชื่อมโยงกับกลุ่มคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในฝั่งกัมพูชา โดยมีการใช้วิธีการหลอกลวงผ่านการจ้างงาน ก่อนจะยึดพาสปอร์ตและบังคับให้ร่วมขบวนการหลอกลวงคนไทยด้วยกันเอง
อาณาจักร “Golden Crowd” และตึกสูงที่ซ่อนเงื่อนงำ
ก๊ก อาน ไม่เพียงแต่เป็นเจ้าของกิจการโรงแรมและรีสอร์ตเท่านั้น แต่เขายังมีชื่อว่าเป็นเจ้าของกิจการกาสิโนหลายแห่งในปอยเปต รวมถึง “Golden Crowd Casino” ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานบันเทิงครบวงจรขนาดใหญ่ และถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ของการขยายอำนาจทางธุรกิจในฝั่งตะวันตกของประเทศ
มีรายงานว่า อาคารสูงหลายหลังที่ก๊ก อาน เป็นเจ้าของ เช่น ตึกสูง 17, 18, 20 และ 25 ชั้น ไม่ได้มีเพียงห้องพักสำหรับพนักงานกาสิโนเท่านั้น แต่ยังถูกดัดแปลงให้เป็นพื้นที่สำนักงานของกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย บางชั้นถูกใช้เป็น call center สำหรับหลอกลวงผู้คน โดยเฉพาะคนไทยที่มักตกเป็นเหยื่อของกลโกงไซเบอร์เหล่านี้
ตึกเหล่านี้มักปล่อยให้เช่าในลักษณะไม่เปิดเผยข้อมูลผู้เช่าอย่างชัดเจน และไม่มีการควบคุมหรือตรวจสอบจากภาครัฐของกัมพูชาอย่างจริงจัง ส่งผลให้กลายเป็น “แดนสนธยา” ของกิจกรรมผิดกฎหมาย และเป็นสวรรค์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
บทบาทในวงการการเมือง และการคุ้มกันระดับสูง
ก๊ก อาน ถือเป็นตัวอย่างของนักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำทางการเมืองอย่างลึกซึ้ง จากรายงานของแหล่งข่าวในพื้นที่ระบุว่า การที่เขาสามารถสร้างอาณาจักรได้อย่างมั่นคงและดำเนินธุรกิจในลักษณะ “เกินกว่ากฎหมาย” เป็นผลมาจากความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจระดับสูงในรัฐบาลกัมพูชา
หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า หากไม่มีการคุ้มกันหรือการอนุญาตอย่างไม่เป็นทางการจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล จะเป็นไปไม่ได้เลยที่กิจกรรมเหล่านี้จะดำเนินมาได้อย่างยาวนาน และขยายอิทธิพลไปในระดับภูมิภาคได้มากขนาดนี้
ไม่เพียงแค่ในกัมพูชาเท่านั้น ก๊ก อาน ยังมีความเคลื่อนไหวข้ามพรมแดนมายังประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลให้ทางการไทยต้องจับตาอย่างใกล้ชิด จนนำไปสู่การขอหมายจับและการเข้าตรวจค้นเครือข่ายในไทยอย่างเป็นระบบ
การจับกุมที่อาจเปลี่ยนเกมความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
กรณีของก๊ก อาน ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล หรือธุรกิจผิดกฎหมายธรรมดา แต่ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการร่วมมือด้านความมั่นคงไซเบอร์ และการแก้ปัญหาแรงงานหลอกลวงข้ามชาติ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การจับกุมก๊ก อาน หากเกิดขึ้นจริงและดำเนินการตามกระบวนการกฎหมาย จะถือเป็น สัญญาณสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในด้านการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีขอบเขตกว้างขวางและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคดิจิทัล
นอกจากนี้ ยังมีคำถามว่า ทางการกัมพูชาจะให้ความร่วมมือหรือไม่ เนื่องจากก๊ก อาน ถือเป็น “ลูกหม้อ” ของพรรคการเมืองหลัก และมีฐานเสียงในระดับท้องถิ่นที่แน่นแฟ้น
บทสรุป
“ก๊ก อาน” ไม่ใช่แค่นักธุรกิจธรรมดา แต่คือ ภาพสะท้อนของการรวมตัวระหว่างทุนใหญ่ การเมือง และอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ดำเนินมาอย่างแนบเนียนและยาวนานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การที่เขาตกเป็นเป้าหมายของการปราบปรามจากหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทย อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการรื้อโครงข่ายอิทธิพลเงาที่ฝังรากลึกในดินแดนชายแดน
แต่คำถามใหญ่คือ จะมีการดำเนินคดีอย่างจริงจังหรือไม่? และระบบการเมืองของประเทศเพื่อนบ้านจะยินยอมให้บุคคลที่มีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้นำสูงสุดต้องเผชิญความยุติธรรมหรือไม่?
เรื่องของก๊ก อาน จึงไม่ใช่แค่ข่าวอาชญากรรม แต่คือปรากฏการณ์ที่สะท้อนความซับซ้อนของภูมิภาคที่กำลังต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ระหว่างประเทศ
















