เงิบทั้งประเทศ! อินฟลูฯดังเขมรมอบของให้ RPG แต่เจอหลอกซ้อนแผน
“จ่าสมครก” ฮอตไม่หยุด! อินฟลูเอนเซอร์เขมรแห่มอบของบริจาค-ขอรีวิวอาหารเสริม ดราม่าโซเชียล "แจก 15 บาท-ทุเรียน 2 ลูก" ชาวเน็ตไทยมองขำปนงง
ภาพและข่าวที่กำลังเป็นกระแสไวรัลในหมู่ชาวโซเชียลทั้งไทยและกัมพูชาในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นกรณีของ “จ่าสมครก” หรือที่หลายคนในฝั่งไทยรู้จักในฉายา “จ่าถือ RPG” ที่เคยปรากฏตัวในคลิปวิดีโอที่เผยให้เห็นการถืออาวุธ RPG (Rocket-Propelled Grenade) เดินปะทะสายตากับทหารพรานไทยขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนชายแดนไทย-กัมพูชา
แต่จากเหตุการณ์ที่ดูเคร่งเครียดในวันนั้น เวลาผ่านมาไม่นาน กลับกลายเป็นฉากหนึ่งที่หลายคนมองว่า “น่าขัน” เมื่อมีอินฟลูเอนเซอร์เขมรชื่อดังจำนวนมาก แห่กันไปมอบของบริจาค ถึงแนวหน้าฝั่งกัมพูชาให้กับ “จ่าสมครก” และหน่วยของเขา พร้อมจัดเต็มทั้งเงิน, รองเท้าแตะ, ทุเรียน และอาหารเสริมอย่างอลังการ
เบื้องหลังดราม่า: อินฟลูฯเขมรขอ “จ่าสมครก” รีวิวครีม อาหารเสริม แลกของบริจาค
เรื่องราวเริ่มต้นจากการรายงานของเพจเฟซบุ๊กชื่อ Army Military Force เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2568 ซึ่งได้เผยข้อมูลว่า “โสก เรก-ษะมีห์” อินฟลูเอนเซอร์หญิงชาวกัมพูชา ผู้มีชื่อเสียงในวงการขายครีมและอาหารเสริม พร้อมกลุ่มอินฟลูฯอีกจำนวนหนึ่ง เดินทางมายังฐานปฏิบัติการแนวหน้าฝั่งกัมพูชา ซึ่งเป็นที่ประจำการของ จ่าสมครก
เป้าหมายของพวกเธอไม่ใช่เพื่อมาเยี่ยมให้กำลังใจธรรมดา แต่เพื่อ ขอให้จ่าสมครกเป็นพรีเซนเตอร์ รีวิวสินค้าของตนผ่านโซเชียล พร้อมกับมอบของบริจาคที่รวบรวมมาจากการเปิดรับบริจาคจากแฟนคลับอินฟลูฯด้วยกัน
ของที่ถูกนำไปมอบนั้นมีทั้ง
เงินสด 1,860 เรียล (ประมาณ 15 บาทไทย) ต่อคน
รองเท้าแตะ 100 คู่
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม 50 ขวด
มะม่วงอบแห้ง 30 ซอง
น้ำดื่ม 12 ลัง
ทุเรียน 2 ลูก
เนื้อแดดเดียวและกุนเชียง 20 ชุด
แม้ของบริจาคจะมีปริมาณไม่น้อย แต่สิ่งที่กลายเป็นจุดโฟกัสจนทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์คือจำนวนเงินที่บริจาคต่อหัวเพียง 15 บาทไทย พร้อมกับฉากที่อินฟลูฯพยายามทำคอนเทนต์กันอย่างจริงจังราวกับรายการเรียลลิตี้โชว์
ชาวเน็ตไทยวิจารณ์แรง “อินฟลูฯเขมรหลอกเขมร” – คอนเทนต์เกินเหตุเพื่อกระแส
หลังจากคลิปและภาพถูกเผยแพร่ออกไป บรรดาชาวโซเชียลฝั่งไทยจำนวนมากต่างเข้าไปแสดงความคิดเห็น โดยส่วนใหญ่มองว่ากรณีนี้มีความตลกร้ายบางอย่าง และแสดงถึงวัฒนธรรมคอนเทนต์ที่บางครั้งก็ดูจะ “มากเกินไป” จนล้ำเส้นความเหมาะสม
มีบางคอมเมนต์ที่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า
“เห็นแล้วขำ ทำคอนเทนต์กันราวกับไปถ่ายรายการเซอร์ไววัล ทั้งที่เขาคือทหารแนวหน้า ไม่ใช่นักแสดง”
อีกเสียงหนึ่งก็ระบุว่า
“บริจาค 15 บาท เอาทุเรียนไป 2 ลูก แล้วให้คนทั้งประเทศเขาชมว่าเป็นฮีโร่ ขำไม่ออกจริง ๆ”
ส่วนหนึ่งของกระแสยังวิจารณ์ว่า อินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้อาศัยกระแสชายแดนตึงเครียดเพื่อสร้างชื่อเสียงและยอดขายสินค้า โดยที่ไม่ได้ตระหนักถึงความจริงจังของสถานการณ์ความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา
อีกมุมหนึ่งของความจริง: “จ่าสมครก” กลายเป็นฮีโร่โซเชียลของชาวเขมร
ในขณะที่ฝั่งไทยอาจมองเหตุการณ์นี้ด้วยอารมณ์ขันแบบเสียดสี แต่ในฝั่งกัมพูชา จ่าสมครกกลับกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญ ในสายตาของประชาชนบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มโซเชียลมีเดียวัยรุ่น
ภาพของเขาที่ถือ RPG เผชิญหน้าทหารไทย ถูกแชร์ออกไปอย่างแพร่หลาย พร้อมคำชมว่าเขาคือ "ผู้กล้า" และ "ทหารผู้ไม่ยอมถอย" แม้ในบริบทที่แท้จริง เหตุการณ์ในวันนั้นจะยังไม่ชัดเจนว่ามีการเผชิญหน้าอย่างจริงจังแค่ไหน
อินฟลูเอนเซอร์เขมรจำนวนมากจึงแห่เข้าไปหา และใช้ภาพของจ่าสมครกเป็น “จุดขาย” สำหรับโปรโมตสินค้า ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์โซเชียลมีเดียรูปแบบใหม่ที่สะท้อนการใช้เหตุการณ์ความมั่นคงมาแปรเปลี่ยนเป็นคอนเทนต์เชิงพาณิชย์
บริบทชายแดน: ตึงเครียดจริงแต่โซเชียลดันทำให้กลายเป็นเรื่องบันเทิง
การปะทะเชิงสายตาของทหารเขมรและทหารไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เพราะในหลายพื้นที่มีรายงานว่ากัมพูชามีการ เคลื่อนย้ายกำลังทหารหลักหมื่น เข้าประชิดชายแดนไทยในหลายจุด
กองกำลังไทยได้ออกมาตรการเฝ้าระวังสูงสุด รวมถึงการเสริมกำลังในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ การลาดตระเวนของทหารพราน และความร่วมมือกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง
ทว่า...แม้สถานการณ์จะมีความอ่อนไหวและเสี่ยงต่อการปะทะ แต่บางฝ่าย โดยเฉพาะฝั่งอินฟลูเอนเซอร์เขมร กลับเลือกใช้พื้นที่แนวหน้าเป็น “เวทีถ่ายคอนเทนต์” ที่บางครั้งขาดความละเอียดอ่อน และส่งผลให้ภาพลักษณ์ของความขัดแย้งกลายเป็นเรื่องตลกในโลกออนไลน์
บทเรียนจากกรณี “15 บาท” และทุเรียน 2 ลูก: วัฒนธรรมคอนเทนต์ที่ต้องระวัง
กรณีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของของบริจาคจำนวนน้อยหรือภาพลักษณ์ที่ดูไม่จริงจังเท่านั้น แต่มันยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมในสังคมโซเชียลในยุคที่ทุกอย่างสามารถเป็น “คอนเทนต์” ได้ แม้กระทั่งเหตุการณ์ทางทหาร
การนำบุคคลที่เป็นสัญลักษณ์ของกองทัพหรือผู้มีบทบาทด้านความมั่นคงมาใช้ในแคมเปญเชิงพาณิชย์ อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร และบั่นทอนความน่าเชื่อถือของบุคคลนั้นในระยะยาว
และในระดับที่ลึกกว่านั้น มันคือคำถามที่ว่า เราควรอนุญาตให้ความขัดแย้งกลายเป็นวัตถุดิบของความบันเทิงหรือไม่?
สรุป: เมื่อสนามรบกลายเป็นเวทีโซเชียล
กรณี “จ่าสมครก” ที่กลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์กิตติมศักดิ์ชั่วข้ามคืน บอกอะไรกับเรา?
สะท้อนถึงพลังของโซเชียลมีเดียที่สามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์จาก “ทหารชายแดน” สู่ “ผู้มีอิทธิพลทางคอนเทนต์”
เตือนให้สังคมระวังการเบี่ยงเบนประเด็นความมั่นคงให้กลายเป็นความขบขัน
เปิดเผยถึงพฤติกรรมของบางกลุ่มที่ใช้ความขัดแย้งทางทหารเป็นโอกาสในการโปรโมตสินค้า
เหนือสิ่งอื่นใด สถานการณ์นี้คือ “ภาพสะท้อนของวัฒนธรรมโซเชียลในยุคที่เนื้อหามีค่ามากกว่าความจริง” และในบางครั้ง...สิ่งที่เกิดขึ้นหน้าชายแดน อาจไม่ได้อันตรายเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอ











