ไม่ทอดทิ้งเพื่อนมนุษย์! ทหารไทยยื่นมือช่วย 2 บิ๊กเขมรเจ็บหนัก ข้ามแดนรักษาด่วน
น้ำใจทหารไทย! เปิดด่านฉุกเฉินช่วย 2 นายพลเขมรป่วย แม้ชายแดนตึงเครียด ไทยยึดหลัก “มนุษยธรรมเหนือความขัดแย้ง”
ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังตึงเครียด จากข่าวการเคลื่อนกำลังทหารเขมรจำนวนมากใกล้พื้นที่ชายแดนฝั่งไทย และกระแสความไม่ไว้วางใจที่แผ่ซ่านในโลกออนไลน์ ปรากฏข่าวที่ทำให้หลายคนหันกลับมามองในมุมของ “ความเป็นมนุษย์” เมื่อฝ่ายไทย โดยเฉพาะกองกำลังชายแดน ได้แสดง “น้ำใจ” และ “ความมีเมตตา” อย่างสูงสุด ด้วยการ เปิดด่านฉุกเฉิน อำนวยความสะดวกให้กับ สองนายพลระดับสูงของกัมพูชา ที่กำลังป่วยหนัก ได้เข้ามารับการรักษาพยาบาลในฝั่งไทย
เหตุการณ์นี้ได้รับการเปิดเผยโดย วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหารชื่อดัง ที่ได้โพสต์ข้อมูลแบบ “ร่ายยาว” รายงานรายละเอียดจากหน่วยชายแดนต่าง ๆ ทั้งฝั่งสระแก้วและจันทบุรี ยืนยันถึงการดำเนินงานบนพื้นฐานของ “มนุษยธรรม” แม้ว่าบุคคลที่ได้รับการช่วยเหลือนั้น อาจถูกมองว่าเป็น “ศัตรู” ตามมุมมองทางความมั่นคงก็ตาม
พลโท เป็จ วรรณา นายพลคนสำคัญแห่งกัมพูชา ได้รับอนุญาตเข้ารักษาในไทย
หนึ่งในกรณีที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือการที่ พลโท เป็จ วรรณา รองเจ้ากรมกิจการชายแดน กองบัญชาการทหารสูงสุดของกัมพูชา ซึ่งถือว่าเป็นคีย์แมนคนสำคัญของกองทัพเขมร และหัวหน้าสำนักงานประสานงานชายแดน กัมพูชา-ไทย ฝ่ายกัมพูชา ได้รับอนุญาตให้ผ่านแดนเข้ามารักษาตัวในประเทศไทย
โดยเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 6 กรกฎาคม 2568 กองกำลังบูรพา โดยหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 12 (ร้อย ทพ.1201) ร่วมกับด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว และด่านศุลกากรอรัญประเทศ ได้ร่วมกันอำนวยความสะดวกให้กับพลโทเป็จ วรรณา เข้าสู่ฝั่งไทยผ่านด่านปอยเปต แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก จะยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมเวลาเปิด-ปิดก็ตาม
พลโทเป็จ วรรณา ได้เข้ารับการรักษาอาการป่วยฉุกเฉินที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลเอกชนที่มีความพร้อมทางการแพทย์ในพื้นที่ชายแดน
การเปิดทางให้ครั้งนี้ได้รับคำชื่นชมจากหลายฝ่ายว่าเป็น “ภาพสะท้อนของน้ำใจและศักดิ์ศรีแห่งทหารไทย” ที่แม้ในยามที่สถานการณ์ชายแดนเปราะบาง ไทยยังคงยึดมั่นในหลักการมนุษยธรรม ไม่ปฏิเสธการช่วยเหลือผู้ป่วย แม้จะเป็นผู้มาจากฝั่งที่กำลังอยู่ในภาวะกดดันความมั่นคง
อีกหนึ่งนายพล อดีตรองเสนาธิการทหารภูมิภาค 5 ป่วยมะเร็ง กลับกัมพูชาผ่านด่านจันทบุรี
ไม่เพียงแค่เคสของพลโทเป็จ วรรณา แต่เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2568 หน่วยงานความมั่นคงไทยในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ก็ได้เปิดด่านฉุกเฉินเพื่อ อำนวยความสะดวกให้กับนายทหารระดับสูงอีกหนึ่งรายของกัมพูชา ซึ่งเป็น อดีตรองเสนาธิการภูมิภาคทหารที่ 5 ซึ่งป่วยด้วย โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก และกำลังกลับประเทศเพื่อพักฟื้นที่บ้านพักในจังหวัดพระตะบอง
โดยผู้ป่วยรายนี้ได้รับการรักษาด้วยการทำเคมีบำบัดจากโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล กรุงเทพฯ ก่อนเดินทางกลับกัมพูชาผ่านจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม ตำบลเทพนิมิต อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด, TBC หน่วยประสานงานชายแดน, ชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 2, ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตราด และ ฝ่ายกัมพูชา ได้ร่วมมือกันอย่างเต็มที่เพื่อจัดการภารกิจด้านมนุษยธรรมครั้งนี้ให้ราบรื่นที่สุด
แม้เป็นภัยคุกคาม แต่ “มนุษยธรรม” คือหัวใจของทหารไทย
สิ่งที่สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนจากสองเหตุการณ์นี้คือความตั้งใจจริงของฝ่ายไทยที่จะ แยกแยะระหว่าง "หน้าที่ความมั่นคง" กับ "หลักมนุษยธรรม" โดยเจ้าหน้าที่ชายแดนไทยยังคงให้เกียรติในความเป็นมนุษย์ และเลือกที่จะช่วยเหลือเมื่อมีความจำเป็น แม้บุคคลเหล่านั้นอาจเป็นอดีตหรือปัจจุบันที่เคยอยู่ฝั่งตรงข้าม
ต้องไม่ลืมว่า ในช่วงเวลานี้มีกระแสข่าวว่ากัมพูชามีการเคลื่อนกำลังทหารหลักหมื่นเข้ามาใกล้แนวชายแดนฝั่งไทยในหลายพื้นที่ ซึ่งทำให้หลายฝ่ายเริ่มจับตามองถึง “ความเสี่ยงในเชิงยุทธศาสตร์” และทำให้ประชาชนบางส่วนรู้สึกไม่สบายใจ
อย่างไรก็ตาม กองกำลังไทยยังคงรักษาจุดยืนด้วยความนิ่ง สุขุม และใช้กฎหมายควบคุมพื้นที่เป็นหลัก พร้อมกับแสดงออกในทาง “น้ำใจ” และ “มนุษยธรรม” เมื่อมีกรณีเร่งด่วนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของบุคคล
โลกออนไลน์เสียงแตก: บางส่วนชื่นชม บางส่วนหวั่นไหว
หลังมีข่าวออกมาในวงกว้าง บนโลกโซเชียลมีทั้งเสียงที่ ชื่นชมความเป็นมืออาชีพของทหารไทย และอีกส่วนที่ กังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในระยะยาว
เสียงหนึ่งกล่าวว่า
“นี่แหละคือทหารไทย มีน้ำใจแม้ต่อคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม นับถือใจจริง ๆ”
อีกความคิดเห็นก็แสดงความเห็นเชิงห่วงใยว่า
“เข้าใจว่าเป็นมนุษยธรรม แต่ต้องไม่ลืมว่าคนเหล่านี้อาจกลับไปเป็นผู้นำกำลังมาเผชิญหน้าเราในอนาคตได้เช่นกัน ต้องระวังให้มาก”
ไม่ว่าจะมองจากมุมใด เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึง สมดุลที่ยากจะรักษา ระหว่าง “การเป็นนักรบ” และ “การเป็นมนุษย์”
ข้อคิด: ความเป็นไทยไม่ใช่แค่ชายแดน แต่คือหัวใจ
เหตุการณ์เปิดด่านให้กับสองนายพลกัมพูชาป่วยในครั้งนี้ อาจเป็นเพียงข่าวเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับความเคลื่อนไหวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันคือ การสะท้อน “ความเป็นไทย” อย่างแท้จริง
ไทยอาจไม่ได้มีอาวุธล้ำยุคเท่าประเทศมหาอำนาจ อาจไม่มีเรือบรรทุกเครื่องบิน หรือขีปนาวุธ แต่สิ่งที่เรามีคือ “จิตใจที่อ่อนโยน” และ “ศักดิ์ศรีของทหารที่ไม่ลืมความเป็นมนุษย์” ซึ่งในหลายครั้งกลับมีพลังมากกว่ากองกำลังใด ๆ
สรุป
การที่ประเทศไทย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ชายแดน ได้เปิดด่านอำนวยความสะดวกให้กับ 2 นายพลระดับสูงของกัมพูชา ที่เข้ามารับการรักษาในฝั่งไทย แม้ในขณะที่สถานการณ์ชายแดนอยู่ในภาวะตึงเครียดนั้น ไม่เพียงแต่เป็นการกระทำที่แสดงออกถึงหลักมนุษยธรรมอย่างแท้จริง แต่ยังสะท้อนถึงความเป็นผู้นำเชิงจริยธรรม และการวางตัวที่เหมาะสมในเวทีระหว่างประเทศ
นี่ไม่ใช่เพียง “การเปิดด่าน” แต่คือ “การเปิดหัวใจ” ของคนไทย ที่ยังคงมองเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ แม้ในยามเผชิญความไม่แน่นอน และนี่คือบทเรียนสำคัญที่โลกควรรับรู้จากชายแดนไทยในวันนี้
อ้างอิงจาก: เพจ มาดามปู






















