🇹🇭🔥 เดือดอีก! ชุดไทยจ่อขึ้นยูเนสโก ดราม่าเขมรส่งชุดแต่งงานคล้ายชนกันเป๊ะ
ข่าวดีของคนไทย! "ชุดไทยพระราชนิยม" จ่อขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมโลกจาก UNESCO ปี 2569 ท่ามกลางกระแสร้อนแรงจากฝั่งกัมพูชา
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โซเชียลมีเดียได้คึกคักอีกครั้ง เมื่อเพจดัง "ASEAN มองไทย" ได้รายงานข่าวสำคัญที่สร้างความปลาบปลื้มใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ โดยระบุว่า "ชุดไทยพระราชนิยม" ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย ได้ถูกบรรจุไว้ในวาระการประชุมของ UNESCO เพื่อพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage) ในปี พ.ศ. 2569 ที่จะถึงนี้
ข่าวดีนี้ได้รับการยืนยันจากเว็บไซต์ทางการของ UNESCO แล้วว่า "ชุดไทยพระราชนิยม" จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาอย่างเป็นทางการ โดยมีกำหนดประชุมประจำปีเพียงปีละครั้ง ดังนั้นโอกาสเช่นนี้จึงถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่คนไทยทั่วประเทศควรเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด
เปิดความงดงามของ “ชุดไทยพระราชนิยม” อัตลักษณ์ที่โลกควรจารึก
"ชุดไทยพระราชนิยม" เป็นเครื่องแต่งกายของสตรีไทยที่มีความสง่างาม ละเมียดละไม และสะท้อนถึงวัฒนธรรมอันลึกซึ้งของชาติไทยได้อย่างชัดเจน ชุดนี้นิยมใช้ในงานพิธีต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานหมั้น หรือพระราชพิธี โดยการตัดเย็บมักใช้วัสดุชั้นดี เช่น ผ้าไหมไทย, ผ้าฝ้าย, หรือแม้กระทั่ง ผ้าใยประดิษฐ์ ที่ให้ความรู้สึกอ่อนช้อยและสง่างาม
สำหรับชุดไทยพระราชนิยมที่รู้จักกันดีมีหลายแบบ ได้แก่
ชุดไทยเรือนต้น
ชุดไทยจิตรลดา
ชุดไทยอมรินทร์
ชุดไทยบรมพิมาน
ชุดไทยดุสิต
ชุดไทยจักรี
ชุดไทยศิวาลัย
ชุดไทยจักรพรรดิ
ชุดไทยประยุกต์
แต่ละชุดมีดีไซน์เฉพาะตัวที่สะท้อนบริบททางประวัติศาสตร์และความสวยงามของยุคสมัยที่แตกต่างกัน โดยชุดไทยเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงแค่คุณค่าทางศิลปะเท่านั้น แต่ยังสะท้อนรากฐานทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาอันยาวนานของคนไทยในแต่ละภูมิภาค
กระแสสังคมไทยปลุกพลังรักชาติ “เราต้องสู้เพื่อวัฒนธรรมไทยของเรา”
หลังจากเพจ “ASEAN มองไทย” เผยแพร่ข่าวนี้ออกไป ได้มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้าไปแสดงความคิดเห็น โดยส่วนใหญ่แสดงความดีใจและความภาคภูมิใจที่เครื่องแต่งกายไทยจะได้รับการยอมรับในระดับโลก
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันก็มีเสียงเตือนให้คนไทยไม่ประมาท เพราะข่าวอีกกระแสหนึ่งที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงคือ การที่กัมพูชาเตรียมเสนอ “ประเพณีแต่งงานเขมร” ขึ้นทะเบียนกับ UNESCO ในปีเดียวกัน ซึ่งมีการใช้ “ชุดที่คล้ายคลึงกับชุดไทย” ในพิธีด้วย
เรื่องนี้จึงกลายเป็นที่จับตาอย่างหนัก เนื่องจากบางคนมองว่าการกระทำดังกล่าวอาจสื่อถึงการ “สอดแทรก” อัตลักษณ์ของไทยเข้าไปในเอกลักษณ์ของกัมพูชาเพื่อหวังผลในการขึ้นทะเบียนวัฒนธรรมกับ UNESCO และอาจสร้างความสับสนในระดับสากลได้ในอนาคต
เสียงสะท้อนจากชาวเน็ต: “อย่าให้สิ่งที่บรรพบุรุษสร้างไว้ถูกแย่งไปต่อหน้าเรา”
ความคิดเห็นหนึ่งที่ถูกแชร์อย่างแพร่หลายกล่าวว่า
"เราต้องรวมตัวกันมากกว่านี้ ออกสื่อให้ทั่วโลกเห็นว่าเราภาคภูมิใจกับชุดไทยขนาดไหน ต้องแสดงให้เห็นว่านี่คือรากเหง้าของชาติเรา ไม่ใช่แค่ชุดสวย ๆ แต่คือวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง”
มีการยกตัวอย่างว่ากัมพูชามีการนำภาพถ่ายเก่าในยุครัชกาลที่ 3 ของไทย ไปแปะประกอบเอกสารหรือข่าว เพื่อสื่อให้เข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเขมร พร้อมกับมีการแชร์ภาพจากละครไทยที่ย้อนยุค รวมถึงรูปแบบการแต่งกายในราชสำนัก ที่ถูกอ้างว่าเป็นต้นแบบของชุดเขมรอีกด้วย
หลักฐานอยู่กับเรา คนไทยต้องกล้าปกป้อง
มีผู้ให้ข้อมูลว่าประเทศไทยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย เอกสารทางราชการ ภาพจากหอสมุดแห่งชาติ หรือคลิปวิดีโอที่บันทึกไว้เป็นพัน ๆ ภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้ชุดไทยในบริบททางพิธีการอย่างต่อเนื่องมาหลายร้อยปี
ในทางกลับกัน มีการตั้งข้อสังเกตว่าทางฝั่งกัมพูชานั้นมีหลักฐานภาพเพียงไม่กี่สิบภาพเท่านั้น ซึ่งอาจไม่เพียงพอในการชี้ชัดถึงการเป็นเจ้าของวัฒนธรรมในเชิงลึกเหมือนประเทศไทย
กรณี "มรดกโลก" กับ "มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม" ต่างกันอย่างไร?
ประเด็นหนึ่งที่หลายคนอาจเข้าใจผิด คือคำว่า "ขึ้นทะเบียนมรดกโลก" ซึ่งโดยความจริงแล้วการขึ้นทะเบียน "ชุดไทยพระราชนิยม" ในครั้งนี้จะอยู่ในหมวด มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (Intangible Cultural Heritage หรือ ICH) ซึ่งครอบคลุมวัฒนธรรมที่ไม่ใช่สถานที่ เช่น ภาษา ดนตรี ประเพณี และเครื่องแต่งกาย
ในขณะที่คำว่า "มรดกโลก" หรือ World Heritage Site หมายถึงสถานที่ที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมหรือธรรมชาติ เช่น เมืองประวัติศาสตร์ พระราชวัง หรืออุทยานแห่งชาติ
ทั้งสองหมวดนี้มีสถานะและศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกันในสายตาของ UNESCO
รัฐต้องขยับ! กระทรวงวัฒนธรรม-การต่างประเทศถูกตั้งคำถาม
ในด้านหนึ่งที่ประชาชนรู้สึกเบื่อหน่าย คือการที่ภาครัฐดูจะขยับตัวช้าในการปกป้องศิลปวัฒนธรรมของไทย หลายเสียงเรียกร้องให้ กระทรวงวัฒนธรรม และ กระทรวงการต่างประเทศ ออกมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนมากกว่านี้ พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องในเวทีโลก
มีชาวเน็ตตั้งคำถามว่า ทำไมเราต้องให้ภาคประชาชนเป็นผู้ปกป้องมรดกของชาติอยู่ฝ่ายเดียว?
สรุป: โอกาสที่คนไทยทั้งประเทศควรร่วมแรงร่วมใจ
การพิจารณาของ UNESCO ในปี 2569 ที่จะถึงนี้ อาจจะเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ “ชุดไทยพระราชนิยม” กลายเป็นวัฒนธรรมที่โลกยอมรับอย่างเป็นทางการ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่ควรมองข้ามความเคลื่อนไหวจากประเทศเพื่อนบ้านที่อาจแฝงนัยบางอย่างที่มีผลต่อประวัติศาสตร์และสิทธิในเชิงวัฒนธรรมของเรา
สิ่งสำคัญที่สุดคือ คนไทยต้อง ร่วมมือกันอย่างจริงจัง ทั้งภาคประชาชน รัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน เพื่อรักษาและเผยแพร่อัตลักษณ์ที่บรรพบุรุษของเราร่วมกันสร้างไว้ ไม่ใช่แค่เพื่อวันนี้ แต่เพื่ออนาคตของลูกหลานไทยทุกคน
หากคุณภูมิใจในความเป็นไทย อย่ารอให้ถึงวันนั้นแล้วค่อยลุกขึ้นมา "ปกป้อง" เพราะบางทีวันนั้น…อาจสายเกินไปแล้ว
อ้างอิงจาก: ข้อมูลจาก : ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เลย และ ASEAN "มอง" ไทย






















