เตือนภัยแผ่นดินไหวใต้น้ำทะเลอันดามัน เสี่ยงต่อการเกิดสึนามิ หากภูเขาไฟใต้น้ำเกิดการระเบิด
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเป็นระยะบริเวณทะเลอันดามัน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับแนวภูเขาไฟใต้น้ำที่ยังคงมีพลัง (active submarine volcano) และเตือนให้ประชาชนเฝ้าระวังความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การเกิดคลื่นสึนามิในอนาคต
อาจารย์ธรณ์ชี้แจงว่า คลื่นสึนามิสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น แผ่นดินไหวใต้ทะเล ภูเขาไฟใต้น้ำระเบิด หรือแม้แต่ภูเขาถล่มลงในทะเล (กรณีหลังนี้ไม่มีในประเทศไทย) โดยเฉพาะฝั่งทะเลอันดามันซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงมากกว่าฝั่งอ่าวไทย เนื่องจากอยู่ใกล้กับแนวรอยเลื่อนและภูเขาไฟใต้ทะเล
บริเวณที่พบการเกิดแผ่นดินไหวถี่ในช่วงเวลานี้อยู่ห่างจากจังหวัดพังงาประมาณ 470–480 กิโลเมตร เป็นแนวเดียวกับภูเขาไฟใต้น้ำในแถบหมู่เกาะอันดามัน–นิโคบาร์ ของประเทศอินเดีย ซึ่งอยู่ในแนวเดียวกับเกาะ Barren ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังมีการปะทุอยู่เป็นระยะ ล่าสุดเกิดการปะทุในปี 2565
ทั้งนี้ แม้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันแน่ชัดว่าแผ่นดินไหวในบริเวณดังกล่าวจะนำไปสู่การระเบิดของภูเขาไฟใต้น้ำ แต่การที่เกิดแผ่นดินไหวถี่และมีความแรงมากกว่า 4 ริกเตอร์ขึ้นไป อาจแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนตัวของแมกมาภายใน ซึ่งจำเป็นต้องติดตามเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป
กรณีที่ภูเขาไฟใต้น้ำเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงในพื้นที่ที่มีความลึกมากกว่า 2,000 เมตร อาจทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของมวลน้ำจำนวนมหาศาล และสร้างคลื่นสึนามิที่รุนแรงได้ โดยหากเกิดในจุดใกล้ประเทศไทย อาจทำให้คลื่นเข้าสู่ฝั่งได้เร็วกว่าเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี 2547
อาจารย์ธรณ์เน้นย้ำว่า แม้สถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่ประชาชนควรมีความรู้ ความเข้าใจ และเตรียมการรับมือในเบื้องต้น เช่น การฝึกซ้อมอพยพ เส้นทางหลบภัย การประสานกับโรงเรียนในกรณีมีบุตรหลานเรียนอยู่ใกล้ชายฝั่ง และการติดตามข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ไม่หลงเชื่อข่าวลือหรือผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านธรณีพิบัติภัย
ทั้งนี้ ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ภูเขาไฟ Hunga Tonga–Hunga Haʻapai ระเบิดในปี 2565 ที่ประเทศตองกา ส่งผลให้เกิดคลื่นสึนามิสูงกว่า 20 เมตรในบางพื้นที่ แม้จะเกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกและอยู่ห่างไกลจากพื้นที่ชุมชนมาก แต่ก็เป็นกรณีศึกษาที่ดีว่า ภูเขาไฟใต้น้ำสามารถสร้างผลกระทบได้มากเพียงใด
ท้ายที่สุดนี้ ประชาชนควรเฝ้าระวังอย่างมีสติ ใช้วิจารณญาณในการเสพข่าวสาร และให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว


















