อเมริกากับอิหร่านเกลียดอะไรกันความตึงเครียดไร้จุดจบ!
จุดกำเนิดความบาดหมางย้อนรอยความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อิหร่าน
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่านในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและเป็นปฏิปักษ์ มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนานและซับซ้อนที่ทั้งสองประเทศมีร่วมกัน จากจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความชื่นชม สู่การเป็นศัตรูกันอย่างถาวร เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของการเมืองภายใน ภูมิรัฐศาสตร์ และการแทรกแซงจากภายนอก
จุดเริ่มต้นของความชื่นชมและยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง
ในอดีต อิหร่านเคยมองสหรัฐอเมริกาในแง่บวกอย่างยิ่ง ต่างจากมหาอำนาจยุโรปอย่างอังกฤษและรัสเซียที่มักแสวงหาผลประโยชน์จากการเป็นเจ้าอาณานิคม สหรัฐฯ ได้รับการยกย่องในฐานะผู้สนับสนุนการบริหารการเงินและเอกราชของอิหร่าน แม้กระทั่งช่วยป้องกันไม่ให้อิหร่านตกเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ อย่างไรก็ตาม อังกฤษได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมน้ำมันของอิหร่าน ผ่านการได้รับสัมปทานน้ำมัน ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งบริษัทน้ำมันที่อังกฤษควบคุมเป็นส่วนใหญ่ โดยมีผลประโยชน์เพียงน้อยนิดสำหรับชาวอิหร่าน
ในปี 1921 การรัฐประหารได้เกิดขึ้น นำโดย เรซา ข่าน ผู้ที่ต่อมาได้ขึ้นเป็น ชาห์ และก่อตั้ง ราชวงศ์ปาห์ลาวี ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของอิหร่าน
สงครามโลกครั้งที่ 2 และการแทรกแซงจากภายนอก
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อิหร่านถูกยึดครองโดยกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตร (อังกฤษ สหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต) ซึ่งใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ในการส่งเสบียง หลังสงคราม สหภาพโซเวียตในตอนแรกปฏิเสธที่จะถอนกำลังออกไป ทำให้สหรัฐฯ ต้องเข้ามามีบทบาทในการกดดันโซเวียตให้ถอนกำลังออกไป
ต่อมาในปี 1951 กระแส ชาตินิยม ได้ก่อตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในอิหร่าน โดยมีเป้าหมายในการโอนกิจการอุตสาหกรรมน้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่ควบคุมโดยอังกฤษ ให้กลับมาเป็นของรัฐ นายกรัฐมนตรีโมฮัมหมัด มอสซาเดก ผู้เป็นนักชาตินิยมผู้แน่วแน่ ได้ผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ จนนำไปสู่การแตกความสัมพันธ์ทางการทูตกับอังกฤษ
จุดเปลี่ยนสำคัญการรัฐประหารและการร้าวฉาน
เหตุการณ์สำคัญที่สุดที่เปลี่ยนโฉมความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านอย่างสิ้นเชิงคือ การรัฐประหารในปี 1953 อังกฤษซึ่งกังวลถึงอิทธิพลของโซเวียตและการสูญเสียการควบคุมน้ำมัน ได้โน้มน้าวให้สหรัฐฯ เชื่อว่าอิหร่านกำลังเอนเอียงไปทางคอมมิวนิสต์ ด้วยความร่วมมือจาก CIA สหรัฐฯ ได้วางแผน ปฏิบัติการ Ajax ซึ่งเป็นการรัฐประหารโค่นล้มมอสซาเดกและคืนอำนาจให้กับชาห์ที่สนับสนุนตะวันตก เหตุการณ์นี้ทำให้อิหร่านกลายเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และได้รับเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อ "วัตถุประสงค์สันติ" แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความไม่พอใจอย่างลึกซึ้งในหมู่ชาวอิหร่าน
การปฏิวัติอิหร่านและวิกฤตตัวประกัน
ในช่วงทศวรรษ 1970 การปกครองแบบเผด็จการที่เพิ่มขึ้นของชาห์ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตก ได้จุดชนวนความไม่พอใจในหมู่ชาวอิหร่านอนุรักษ์นิยมและชาตินิยม อายะตุลลอฮ์ รูฮุลลอฮ์ โคมัยนี นักบวชชีอะห์ผู้ทรงอิทธิพล ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านในขณะที่ลี้ภัย
ในปี 1979 การปฏิวัติอิหร่าน ได้โค่นล้มราชวงศ์ปาห์ลาวีและนำไปสู่การจัดตั้ง สาธารณรัฐอิสลาม ภายใต้การนำของโคมัยนี วิกฤตการณ์ตัวประกันที่สถานทูตสหรัฐฯ ซึ่งนักการทูตและพลเมืองอเมริกัน 52 คนถูกจับเป็นตัวประกันนานถึง 444 วัน ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ซึ่งความสัมพันธ์นี้ก็ยังคงเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องเมื่อสหรัฐฯ สนับสนุนอิรักในระหว่างสงครามอิหร่าน-อิรัก ตราหน้าอิหร่านว่าเป็นรัฐที่สนับสนุนการก่อการร้าย และยังเกิดเหตุการณ์ที่เครื่องบินพลเรือนอิหร่านถูกยิงตกโดยไม่ตั้งใจในปี 1988
ความสัมพันธ์ที่ผันผวนและอนาคตที่ยังคลุมเครือ
นับตั้งแต่ปี 1988 ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านยังคงตึงเครียด มีทั้งช่วงเวลาของการประณามอย่างรุนแรง (เช่น สมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่เรียกอิหร่านว่าเป็นส่วนหนึ่งของ "แกนแห่งความชั่วร้าย") และความพยายามทางการทูตช่วงสั้นๆ (เช่น ข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 สมัยประธานาธิบดีโอบามา) ซึ่งต่อมาถูกยกเลิกโดยประธานาธิบดีทรัมป์














