จีนออกกฎใหม่ คุมเข้มองค์กรตัดสินใจสูงสุด ตอกย้ำอำนาจนำของสีจิ้นผิง
ปักกิ่ง - พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ประกาศใช้กฎระเบียบใหม่สำหรับองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของพรรค ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญก่อนการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 (Third Plenum) ที่หลายฝ่ายจับตามอง โดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดขอบเขตอำนาจให้ชัดเจน และเสริมสร้างความเป็นผู้นำแบบรวมศูนย์และเป็นเอกภาพภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
กฎระเบียบดังกล่าว ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2024 มุ่งเน้นไปที่การดำเนินงานของ คณะกรรมการกลาง (Central Committee) และ คณะกรรมการกรมการเมือง หรือ โปลิตบูโร (Politburo) ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนนโยบายของประเทศ
สาระสำคัญของกฎระเบียบใหม่นี้คือการกำหนดขอบเขตอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบของทั้งสององค์กรอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรก ซึ่งช่วยลดความคลุมเครือและสร้างบรรทัดฐานการทำงานที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น กฎระเบียบดังกล่าวยังตอกย้ำหลักการสำคัญทางการเมืองที่เรียกว่า "Two Establishes" (การยืนยันสถานะแกนกลางของสหายสี จิ้นผิงในคณะกรรมการกลางและในพรรคโดยรวม และการยืนยันสถานะชี้นำของแนวคิดสี จิ้นผิง) และ "Two Upholds" (การพิทักษ์สถานะแกนกลางของสี จิ้นผิง และการพิทักษ์อำนาจรวมศูนย์ของคณะกรรมการกลางพรรค) อย่างหนักแน่น โดยเรียกร้องให้สมาชิกทุกคนแสดงความภักดีอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อผู้นำพรรค และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
ในทางปฏิบัติ กฎระเบียบใหม่ได้ระบุว่า การตัดสินใจในประเด็นที่ "สำคัญและยิ่งใหญ่" ของประเทศ จะต้องถูกหยิบยกขึ้นมาหารือและตัดสินใจโดยโปลิตบูโร หรือคณะกรรมการประจำโปลิตบูโร (Politburo Standing Committee) ซึ่งเป็นองค์กรที่ทรงอำนาจที่สุดก่อนเสมอ
การประกาศใช้กฎนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ ก่อนการประชุม Third Plenum ที่จะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคม ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะมีการวางแนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว นักวิเคราะห์จึงมองว่านี่คือการเตรียมการเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเมือง
ในมุมมองของนักวิเคราะห์หลายคน การออกกฎระเบียบนี้เป็นความพยายามของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่จะทำให้การควบคุมอำนาจของตนเองเป็นเรื่องที่เป็นทางการและเป็นระบบมากขึ้น เพื่อป้องกันความขัดแย้งภายในและสร้างเสถียรภาพทางการเมืองในระยะยาว
โดยสรุป การออกกฎระเบียบใหม่นี้ถือเป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อกระชับและตอกย้ำโครงสร้างอำนาจที่รวมศูนย์อยู่ที่สี จิ้นผิง ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกการตัดสินใจที่สำคัญของประเทศจะต้องผ่านการเห็นชอบจากศูนย์กลางอำนาจ ซึ่งสะท้อนถึงการวางรากฐานอำนาจของผู้นำจีนให้มีความแข็งแกร่งและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น













