จีนตอกหน้า "ฮุนเซน" อาวุธที่ให้ยิงไม่ถึง กทม..ไม่สนใจหากไทยกับกัมพูชารบกัน
จีนตอกหน้า "ฮุนเซน" อาวุธที่ให้ยิงไม่ถึง กทม..ไม่สนใจหากไทยกับกัมพูชารบกัน แดนมังกรเอ่ยปากไม่เลือกข้างใครถ้าเกิดมีการรบกันจริงๆ ลั่น! ทางกัมพูชาอาจจะใช้อาวุธที่ผลิตจากจีนเพื่อมาโจมตีไทย แต่ย้ำด้วยว่าอาวุธเหล่านั้นใช้แค่ป้องกันตัวเอง พิสัยการยิงไม่ถึงกรุงเทพฯ อย่างแน่นอน เพราะหลังจากซื้ออาวุธจากจีนแล้ว สิทธิความเป็นเจ้าของและการใช้งานก็เป็นของผู้รับทั้งหมด ทางจีนไม่มีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใด แม้ไทยจะเป็นมิตรเก่าแก่หรือกัมพูชาจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนก็ตาม
"ซ่ง จงปิง" ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารของจีน ก็เผยว่า จีนไม่อยากให้มิตรประเทศทั้งสองต้องมาทำสงครามกัน ถึงแม้จะเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทด้านดินแดน ทางปักกิ่งพร้อมอำนวยความสะดวกในการเจรจา และหาข้อยุติเพื่อหยุดยิง คำพูดดังกล่าวของ ซ่ง จงปิง ก็มีขึ้นหลัง นสพ.เดอะเนชั่น ได้รายงานข่าว เมื่อวันศุกร์ (27มิ.ย.) ที่ผ่านมา โดยอ้างคำกล่าวของ สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่บอกว่าประเทศของเขามีอาวุธที่รุนแรงสามารถโจมตีไปได้ไกลถึงกรุงเทพฯ เลยทีเดียว แต่ทางกัมพูชาไม่อยากใช้ถ้าไม่จำเป็น
ทั้งนี้ ซ่ง จงปิง ยังบอกอีกว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่กัมพูชาจะคุกคามเมืองหลวงของไทย ด้วยระบบจรวดที่ผลิตโดยจีน และนอกจากนี้แล้วกัมพูชายังไม่มีเครื่องบินขับไล่ที่มีศักยภาพบรรทุกขีปนาวุธพิสัยไกลด้วย ศักยภาพของกองทัพไทยมีความแข็งแกร่งกว่ากองทัพกัมพูชาเป็นอย่างมาก และทางสื่อพนมเปญโพสต์ ยังรายงานว่า อาวุธของจีนนั้นคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 95% ในอาวุธทั้งหมดของกัมพูชา และจีนก็ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขในการใช้งานอาวุธของตนเองเหมือนกับสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทไทยกับกัมพูชา ซ่ง มองว่าทั้งสองประเทศนับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้มีการแตกแยกทางศาสนาอย่างรุนแรง และประเด็นข้อพิพาทตามแนวชายแดนนั้น มันก็มีต้นตอมากจากการปกครองอาณานิคมของฝรั่งเศสทั้งสิ้น ดังนั้นจีนจึงขอให้แนะนำให้ทั้งสองประเทศอดทนอดกลั้น และคลี่คลายข้อพิพาทต่างๆ ผ่านการเจรจาจะดีกว่า" ซ่งกล่าว อย่างไรก็ตามเขาเน้นย้ำว่า จีน จะยังคงแนะนำให้มิตรประเทศทั้ง 2 อดทนอดกลั้นและคลี่คลายข้อพิพาทผ่านการเจรจา และจีนยังทิ้งท้ายอย่างหนักแน่นด้วยว่า เราคงไม่เลือกข้างใด หากว่าไทยกับกัมพูชาต้องรบกันจริงๆ เพราะความขัดแย้งใดๆ ภายในกลุ่มอาเซียน จะเป็นบ่อนทำลายเสถียรภาพในภูมิภาคนี้ และอาเซียนเองก็อาจจะมีส่วนร่วมในความพยายามเป็นคนกลาง















