ผู้นำสุขาวดี
ผู้นำสุขาวดี
โดย อักษราลัย
ณ ดินแดนอันเคยอุดมสมบูรณ์ นามว่า "ศรีสุขาวดี" ได้มีราชินีองค์หนึ่งทรงพระนามว่า "พระนางสติเฟื่อง" ผู้ซึ่งงามสง่าราวกับดอกไม้แรกแย้ม (หากไม่พิจารณาถึงพระปัญญา) พระนางสติเฟื่องทรงครองราชย์ด้วยความเชื่อมั่นใน "ลางสังหรณ์" และ "คำทำนายจากโหรประจำตัว" ซึ่งเป็นญาติห่าง ๆ ที่อ่านดวงดาวไม่เป็น มากกว่าเหตุผลและข้อเท็จจริงใด ๆ
เมื่อเกิดปัญหาภัยแล้ง ประชาชนทุกข์ยากไร้น้ำทำนา เหล่าเสนาอำมาตย์ผู้มีปัญญาได้ทูลเสนอให้ขุดลอกคลอง สร้างอ่างเก็บน้ำ แต่พระนางสติเฟื่องกลับทรงตรัสว่า "ข้าสังหรณ์ใจว่าอีกสามวันฝนจะตกหนัก จงเตรียมร่มทองคำไว้รับเสด็จฝนเถิด!" ปรากฏว่าสามวันผ่านไป ท้องฟ้ายังคงแจ่มใส ไร้เมฆฝน ประชาชนจึงยิ่งเดือดร้อนหนักกว่าเดิม
เมื่อเศรษฐกิจของศรีสุขาวดีเริ่มตกต่ำ ข้าวของแพง ประชาชนอดอยาก เหล่านักปราชญ์ได้เสนอให้ปรับปรุงระบบภาษี ส่งเสริมการค้า แต่พระนางสติเฟื่องกลับทรงเชื่อคำทำนายของโหรหลวงที่ว่า "อีกเจ็ดราตรีจะมีเทพีแห่งโชคลาภมาโปรยทองคำ จงสร้างแท่นบูชาใหญ่รอรับเถิด!" ปรากฏว่าเจ็ดราตรีผ่านไป มีเพียงฝูงนกพิราบมาถ่ายมูลใส่แท่นบูชา ทองคำสักเกล็ดก็มิได้เห็น ประชาชนจึงโกรธแค้นยิ่งขึ้น
พระนางสติเฟื่องยังทรงโปรดปรานการแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยอาภรณ์หรูหราราคาแพง จัดงานเลี้ยงรื่นเริงอย่างโอฬาร แม้ในยามที่ประชาชนกำลังอดอยาก พระนางทรงเชื่อว่า "ความสุขของข้า คือความสุขของประชาชน" อันเป็นความเชื่อที่เหล่าข้าราชบริพารประจบสอพลอพร่ำบอก เงินทองในท้องพระคลังถูกใช้จ่ายไปกับการประดับประดา จัดหาอาหารเลิศรส และชมการแสดงอันตระการตา โดยมิได้ใส่พระทัยถึงความยากลำบากของราษฎร
ความอดทนของประชาชนศรีสุขาวดีถึงขีดสุด เมื่อพระนางสติเฟื่องทรงมีพระราชดำริให้สร้าง "หอคอยแห่งเสียงหัวเราะ" อันสูงเสียดฟ้า โดยมีพระประสงค์ให้ประชาชนปีนขึ้นไปหัวเราะให้ก้องกังวาน เพื่อขับไล่ความทุกข์ยาก ด้วยเหตุผลว่าเสียงหัวเราะเป็นยาขนานเอกสามารถขจัดความทุกข์ยากของผู้ที่ขึ้นไปหัวเราะยังหอคอยนี้ให้หมดไป โครงการนี้ใช้งบประมาณมหาศาล อย่างที่ทุกคนคิดว่าเสียเปล่า
ในที่สุด ประชาชนศรีสุขาวดีก็ลุกฮือ พวกเขาเดินขบวนไปยังพระราชวัง ตะโกนก้องด้วยความไม่พอใจ พวกเขาเรียกร้องให้พระนางสติเฟื่องลงจากบัลลังก์ ด้วยความไร้ปัญญาและความไร้ความสามารถของพระนางได้นำพาความหายนะมาสู่ดินแดน
พระนางสติเฟื่องผู้ซึ่งยังคงเชื่อมั่นใน "ลางสังหรณ์" ของตนเอง ทรงคิดว่าประชาชนคงออกมาแสดงความชื่นชมใน "หอคอยแห่งเสียงหัวเราะ" จึงทรงโบกพระหัตถ์ให้ฝูงชนด้วยรอยยิ้มงดงาม แต่สิ่งที่พระนางได้รับกลับมาคือเสียงโห่ร้องก้องกึก และการบุกรุกเข้าไปในพระราชวัง
ในที่สุด พระนางสติเฟื่องก็ถูกประชาชนขับไล่ออกจากศรีสุขาวดีอย่างน่าอัปยศ พระนางต้องเสด็จไปประทับยังดินแดนอันห่างไกล พร้อมกับโหรหลวงผู้ทำนายผิด ๆ ถูก ๆ ข้าราชบริพารที่เคยประจบสอพลอ บัดนี้ต่างพากันหนีหายไปหมด
ดินแดนศรีสุขาวดีที่เคยรุ่งเรือง กลับกลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานถึงความหายนะที่เกิดจากผู้นำที่โง่เขลา และเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของการมีผู้นำที่ต้องมีปัญญาและเหตุผลในการบริ
หารบ้านเมือง
…. จบ ….












