จากชัยชนะของอเมริกา สู่โลกที่ถูกแบ่งเป็นสองขั้ว
ในโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ แม้ไม่มีระเบิดลงกลางเมือง หรือทหารเดินขบวนตามท้องถนน—แต่ความตึงเครียดกลับคุกรุ่นอยู่แทบทุกมุมโลก ความขัดแย้งกำลังสะสมอย่างเงียบ ๆ และโลกกำลังเข้าใกล้จุดเดือดอีกครั้ง หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ จุดเริ่มต้นของความเปราะบางทางการเมืองและการทหารในวันนี้ ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา หากแต่มันเริ่มปะทุตั้งแต่ ปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วก่อตัวเรื่อยมาเป็นระลอกคลื่นความไม่ไว้วางใจที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดในปี 1945 สหรัฐอเมริกากลายเป็นผู้นำโลกอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีบทบาทสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการเมืองโลก ขณะที่อีกฝั่งคือ สหภาพโซเวียต ที่แม้จะอยู่ฝ่ายชนะ แต่กลับมีแนวคิดทางอุดมการณ์ที่แตกต่างกันสุดขั้ว จากนั้น โลกก็เข้าสู่ยุค สงครามเย็น (Cold War) ซึ่งแม้จะไม่มีการยิงกันตรง ๆ แต่เป็นการแข่งกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ ตั้งพันธมิตร เช่น นาโต้ (NATO) และ กลุ่มวอร์ซอ (Warsaw Pact) รวมถึงแทรกแซงทางการเมืองในหลายประเทศอย่างลับๆ ผลจากสงครามเย็นทำให้ โลกถูกแบ่งขั้ว และแต่ละฝ่ายไม่ไว้วางใจกันอีกต่อไป
ความขัดแย้งไม่ได้จบเมื่อสงครามเย็นจบ
แม้สหภาพโซเวียตจะล่มสลายในปี 1991 และสงครามเย็นจะสิ้นสุดลงตามไปด้วย แต่ความรู้สึก “แพ้–ชนะ” และ “ใครควรเป็นผู้นำโลก” ไม่เคยหายไป
-
รัสเซีย พยายามกลับมาฟื้นตัวภายใต้ผู้นำอย่างวลาดิเมียร์ ปูติน ด้วยความหวังว่าจะทวงอำนาจของอดีตมหาอำนาจคืน
-
สหรัฐอเมริกา ยังคงมองตัวเองเป็นผู้ปกป้องโลกเสรี และมักแทรกแซงเมื่อมีประเทศใดเบี่ยงเบนจากแนวทางประชาธิปไตย
-
จีน กลายเป็นผู้เล่นใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และเริ่มขยายอิทธิพลในหลายภูมิภาค
โลกจึงเริ่มเปลี่ยนจาก “สองขั้ว” ไปสู่การแข่งกันของ “หลายขั้วอำนาจ” ที่ต่างคนต่างไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่เป็นสัญญาณของความตึงเครียดระดับโลก
-
สงครามรัสเซีย–ยูเครน ที่ปะทุในปี 2022 จนถึงปัจจุบัน
-
ความขัดแย้งระหว่างจีน–ไต้หวัน และความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ในแถบอินโด–แปซิฟิก
-
อิสราเอล–อิหร่าน ที่มีทั้งศึกศาสนาและนิวเคลียร์ซ่อนอยู่
-
เกาหลีเหนือพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และยิงขีปนาวุธใกล้ญี่ปุ่นบ่อยขึ้น
โลกกำลังเผชิญกับภาวะ “ไม่ใช่สงครามเต็มรูปแบบ แต่ก็ไม่ใช่สันติภาพ” หลายฝ่ายมีอาวุธครบมือ มีความแค้นสะสม มีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ และที่สำคัญคือ...ไม่มีใครยอมถอยสิ่งที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งเปราะบางคือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางทหาร เช่น AI, โดรน, สงครามไซเบอร์ ระบบเศรษฐกิจโลกที่เชื่อมโยงกันมากเกินไป ทำให้แม้แต่ประเทศที่ "ไม่ได้เข้าสงคราม" ก็ยังได้รับผลกระทบ ข้อมูลข่าวสารที่ถูกบิดเบือนง่าย และสร้างความแตกแยกได้อย่างรวดเร็ว ประชาชนในหลายประเทศเริ่ม “เสื่อมศรัทธา” ในรัฐบาลตนเอง
เราอาจไม่รู้ว่าสงครามโลกจะเริ่มเมื่อไหร่...แต่เรารู้ว่าเงื่อนไขของมันพร้อมแล้ว
สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่แค่ อาวุธ หรือ ตัวเลขผู้เสียชีวิต แต่คือ ความไม่แน่นอน ที่กำลังล้อมรอบเราอยู่ทุกวัน โดยไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า...
ความขัดแย้งครั้งต่อไปจะจบลงด้วยการเจรจา หรือการกดปุ่มยิงนิวเคลียร์กันแน่










