ไม่รู้ไม่ได้แล้ว! ทนายรณณรงค์สรุป 10 ความจริงของกัมพูชา ที่คนไทยควรรู้
10 เรื่องจริงของ "กัมพูชา" ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้! เปิดมุมมองเพื่อนบ้านที่น่าสนใจและซับซ้อนกว่าที่คิด
แม้จะเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับไทย และมีแรงงานกัมพูชาหลายล้านคนทำงานอยู่ในประเทศไทย แต่เชื่อว่าหลายคนอาจยังไม่รู้จัก “กัมพูชา” ในเชิงลึกมากนัก ล่าสุด ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร หรือ "ทนายคู่ใจ" ได้โพสต์ข้อมูลที่น่าสนใจบนเฟซบุ๊ก โดยเปิดเผย “10 เรื่องจริงของกัมพูชา” ที่ชวนให้คนไทยต้องหันกลับมาศึกษาและทำความเข้าใจประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ในมุมที่ลึกซึ้งกว่าเดิม
เราจะพาไปขยายความ 10 เรื่องนี้ พร้อมบริบททางประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่ทำให้ “กัมพูชา” กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเส้นทางพัฒนาแตกต่างจากหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนอย่างชัดเจน
1. ผู้นำคนเดิมเกือบ 40 ปี: จากฮุน เซน สู่ฮุน มาแนต
สมเด็จฮุน เซน คือหนึ่งในผู้นำที่อยู่ในอำนาจยาวนานที่สุดในโลก โดยเริ่มครองอำนาจตั้งแต่ปี 1985 และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องจนถึงปี 2023 รวมระยะเวลาถึง 38 ปีเต็ม ก่อนจะส่งต่อเก้าอี้ให้ลูกชายของตนเอง คือ ฮุน มาแนต
แม้จะเป็นการถ่ายโอนอำนาจภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง แต่หลายฝ่ายมองว่านี่คือ “การสืบทอดอำนาจทางการเมืองแบบแฝง” ซึ่งสะท้อนถึงระบบอุปถัมภ์ทางการเมืองที่หยั่งรากลึกในกัมพูชา
2. นครวัด – มรดกโลกสุดยิ่งใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ
นครวัด (Angkor Wat) ไม่ใช่แค่แหล่งท่องเที่ยว แต่คือความภาคภูมิใจของชาวกัมพูชา และถือเป็น “ศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ตั้งอยู่ในเมืองเสียมราฐ (Siem Reap) สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 แห่งจักรวรรดิขแมร์
นครวัดยังปรากฏอยู่บน ธงชาติกัมพูชา ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่มีภาพสิ่งปลูกสร้างอยู่บนธงชาติ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ในระดับสูงสุด
3. ภาษาเขมรแบบเขียนย้อนกลับ: ศิลป์แห่งอักษรเพื่อความขลัง
หนึ่งในสิ่งแปลกตาที่อาจพบได้ในกัมพูชาคือ “การเขียนภาษากลับด้าน” โดยเฉพาะในป้ายของหน่วยงานราชการ หรือชื่อของตำแหน่งบางตำแหน่งที่ใช้ “การสะกดกลับหลัง” ซึ่งเชื่อว่าเป็นการเพิ่มความขลัง หรือสะท้อนอำนาจตามคติความเชื่อโบราณ
ความเชื่อนี้มีรากฐานจากพุทธศาสนาแบบเถรวาทผสมผสานกับลัทธิพราหมณ์ และกลายเป็นวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นที่ยังคงพบเห็นได้ในหลายพื้นที่ของกัมพูชา
4. การบูชาผู้นำอย่างเกินจริง และการควบคุมสื่อแบบเบ็ดเสร็จ
ในกัมพูชา การนำเสนอข่าวโดยสื่อมวลชนต้องผ่านการกลั่นกรองอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ซึ่งมักถูกนำเสนอในเชิงบวกเกือบ 100% สะท้อนถึงระบบ โฆษณาชวนเชื่อ ที่ยังมีบทบาทอย่างมากในยุคปัจจุบัน
การสร้างภาพลักษณ์ให้ผู้นำมี “บารมีสูงส่ง” กลายเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมความเชื่อและทัศนคติของประชาชนต่ออำนาจรัฐ
5. บาดแผลจากยุคเขมรแดง: ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กว่า 1.7 ล้านคน
ช่วงปี 1975-1979 ภายใต้การปกครองของ พอล พต ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งกัมพูชา (หรือที่รู้จักในนาม “เขมรแดง”) มีการดำเนินนโยบายปฏิวัติสังคมที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ นำไปสู่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) ประชาชนกว่า 1.7 ล้านคนเสียชีวิตในช่วงเวลาเพียง 4 ปี
ผู้ที่ถูกสังหารส่วนใหญ่คือปัญญาชน ครู อาจารย์ ข้าราชการ และคนที่มีความรู้ทางตะวันตก ส่งผลให้ประเทศสูญเสีย “ทรัพยากรมนุษย์” ไปอย่างมหาศาล
6. แรงงานกัมพูชาในไทยมากกว่า 1 ล้านคน
ปัจจุบัน มีแรงงานกัมพูชาจำนวนมากเดินทางมาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายและผิดกฎหมายรวมกันกว่า 1 ล้านคน โดยทำงานหลากหลายประเภท เช่น ก่อสร้าง งานโรงงาน งานเกษตร และงานบริการ
สาเหตุหลักคือ เศรษฐกิจในประเทศกัมพูชายังไม่มั่นคง รายได้เฉลี่ยต่ำ ประชาชนขาดโอกาสในการประกอบอาชีพภายในประเทศ จึงต้องพึ่งพาตลาดแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน
7. เศรษฐกิจพึ่งพา "ทุนจีน" และอุตสาหกรรมคาสิโน
หนึ่งในเมืองที่เติบโตเร็วที่สุดในกัมพูชาคือ สีหนุวิลล์ (Sihanoukville) ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นศูนย์กลางคาสิโนของนักลงทุนจีน มีการสร้างอาคาร โรงแรม และบ่อนพนันขนาดใหญ่ในเมืองนี้แบบก้าวกระโดด
แต่ความเจริญนี้ก็มาพร้อมกับปัญหา เช่น การฟอกเงิน ปัญหายาเสพติด และอาชญากรรมข้ามชาติที่มีความเกี่ยวพันกับกลุ่มทุนจากจีน ส่งผลให้เกิดความกังวลในระยะยาวถึง “การผูกขาดเศรษฐกิจ” และ “การสูญเสียอธิปไตยทางเศรษฐกิจ”
8. ระบบการศึกษา-สาธารณสุขยังล้าหลัง
แม้รัฐบาลกัมพูชาจะพยายามพัฒนาระบบการศึกษาและสาธารณสุข แต่ความเหลื่อมล้ำและข้อจำกัดด้านงบประมาณ ทำให้โรงเรียนหลายแห่งยังขาดแคลนครู หนังสือ อุปกรณ์การเรียน และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
ในระบบสาธารณสุข โรงพยาบาลหลายแห่งยังขาดอุปกรณ์และบุคลากรที่มีคุณภาพ ส่งผลให้ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงของกัมพูชานิยมเดินทางมารักษาพยาบาลในประเทศไทยแทน
9. พรรคฝ่ายค้านถูกยุบ-ห้ามลงเลือกตั้ง: ประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์
แม้กัมพูชาจะมีการเลือกตั้งเป็นระยะ แต่ในความเป็นจริงฝ่ายค้านส่วนใหญ่กลับถูกปิดปากด้วยกลไกทางกฎหมายและศาล เช่น การยุบพรรค “พรรคกู้ชาติกัมพูชา” (CNRP) ในปี 2017 ซึ่งเป็นฝ่ายค้านหลักในขณะนั้น
ปัจจุบันการเมืองกัมพูชาจึงมักถูกวิจารณ์ว่าเป็น “ประชาธิปไตยจอมปลอม” เนื่องจากไม่มีฝ่ายค้านที่แท้จริงคอยถ่วงดุลอำนาจ
10. กับดักความรุนแรงจากอดีต: ระเบิดและกับระเบิดยังอยู่ในหลายพื้นที่
ช่วงสงครามกลางเมืองและยุคเขมรแดง ทำให้พื้นที่ชนบทจำนวนมากในกัมพูชาถูกฝังระเบิดและกับระเบิดไว้จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะแนวชายแดน
แม้จะมีหน่วยเก็บกู้ระเบิดทำงานต่อเนื่องมาหลายสิบปี แต่ปัจจุบันยังคงพบกับระเบิดในพื้นที่ใหม่ๆ และยังมีรายงานประชาชนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากระเบิดที่ยังไม่ได้เก็บกู้
“กัมพูชา” ไม่ใช่แค่เพื่อนบ้าน แต่คือภาพสะท้อนที่เราควรเรียนรู้
ข้อมูลทั้ง 10 ข้อที่ทนายรณณรงค์นำเสนอ ถือเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ ที่ช่วยให้คนไทยเข้าใจประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “กัมพูชา” ได้มากขึ้น และอาจทำให้หลายคนหันมาศึกษาประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเชิงเปรียบเทียบ
เพราะในโลกที่เชื่อมถึงกันทุกวันนี้ ความเข้าใจ “เพื่อนบ้าน” ไม่ใช่แค่เรื่องของมารยาททางการทูตอีกต่อไป...แต่มันคือ “ภูมิคุ้มกัน” ทางสังคมในยุคที่ข้อมูลไหลเร็ว และโลกเปลี่ยนเร็วเกินคาด













