รอยสัก = ไม่มีการศึกษา? คำตอบ นศ.สาวเวทีดาวเดือน จุดไฟดราม่าทั้งโซเชียล
ดราม่าร้อน! นักศึกษาหญิงตอบคำถามบนเวทีดาว-เดือนว่า "คนมีรอยสักคือคนไม่มีการศึกษา" จุดกระแสถล่มยับ โซเชียลวิจารณ์ยับ เหมารวม-ตัดสินคนจากภายนอก
เกิดเป็นกระแสดราม่าร้อนบนโลกออนไลน์อีกครั้ง เมื่อคลิปวิดีโอของนักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่เข้าร่วมประกวดดาว-เดือนของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง ได้ถูกเผยแพร่ผ่านเพจดัง "ท่านเปา" ซึ่งเป็นเพจที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก โดยในคลิปดังกล่าวปรากฏภาพของผู้เข้าประกวดรายนี้กำลังตอบคำถามต่อหน้าคณะกรรมการและผู้ชมภายในงาน
คำถามที่พิธีกรได้โยนให้นั้นคือ
"หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณจะจ้างคนที่มีรอยสักเต็มตัวหรือไม่ เพราะเหตุใด?"
ซึ่งดูเหมือนเป็นคำถามที่ต้องการวัดทัศนคติของผู้ตอบต่อความหลากหลายและภาพลักษณ์ของคนในสังคม
อย่างไรก็ตาม คำตอบที่นักศึกษาหญิงรายนี้ตอบกลับมา คือ
"คนมีรอยสักเต็มตัวคือคนที่ไม่มีการศึกษา"
กลายเป็นคำตอบที่จุดชนวนความไม่พอใจในโลกโซเชียลแทบจะในทันที
เสียงวิจารณ์ถล่มทลาย เหมารวม-ตัดสินคนแค่ภายนอก
หลังคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างดุเดือด โดยเฉพาะในประเด็นที่มองว่าเป็นการ "เหมารวม" และ “ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก” ซึ่งเป็นทัศนคติที่ไม่สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ ที่เปิดกว้างและเคารพความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
คอมเมนต์หนึ่งที่ได้รับการแชร์ต่อกันอย่างแพร่หลายคือ
"รอยสักเป็นความชอบส่วนบุคคล ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดระดับการศึกษา หรือความสามารถในการทำงาน"
"ส่วนรอยหยักในสมอง มีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับลวดลายบนผิวหนัง"
อีกความคิดเห็นหนึ่งที่กลายเป็นไวรัล คือโพสต์จากผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่เล่าว่า
“พี่สักทั้งหลังค่ะน้อง แต่เป็นเจ้าของบริษัทรถยนต์ และดีลเลอร์ใหญ่ในประเทศสิงคโปร์ หนูต้องเปิดโลกบ้าง อย่าอยู่แต่ในกะลา คำตอบของหนูอาจจะดูขำ แต่สำหรับคนอื่นมันคือการดูถูก เหนือสิ่งอื่นใดคือทัศนคติและสติ หนูควรมีทั้งสองอย่างก่อนขึ้นเวทีนะคะ”
คำวิจารณ์เหล่านี้ไม่ใช่แค่การไม่เห็นด้วย แต่ยังเป็นการชี้ให้เห็นถึงปัญหาทางสังคมที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ซึ่งคือ "การตีตรา" และ "การเหมารวม" ซึ่งมักเกิดขึ้นกับคนที่มีรูปลักษณ์แตกต่างจากสิ่งที่สังคมคาดหวัง
คำถามสะท้อนสังคม หรือแค่กับดักในรูปแบบใหม่?
ในอีกด้านหนึ่งของการถกเถียง มีผู้ใช้โซเชียลจำนวนไม่น้อยที่ออกมาปกป้องนักศึกษาหญิงรายนี้ โดยตั้งคำถามย้อนกลับไปยัง "ตัวคำถาม" ว่ามีความกำกวม และอาจเป็นเหมือนกับ “กับดัก” ที่ทดสอบการใช้ภาษาของผู้ตอบ โดยเฉพาะเมื่อใช้คำว่า “รอยสักเต็มตัว” ซึ่งสามารถตีความได้หลายแบบ
บางคนให้ความเห็นว่า
“รอยสักเต็มตัวคือทั้งแขน ขา ลำตัว คอ และใบหน้า ซึ่งในชีวิตจริง เราแทบไม่เห็นคนที่มีรอยสักระดับนี้ทำงานในบริษัททั่วไป หรือในหน่วยงานราชการ”
“ต้องแยกให้ออกว่าสักแบบไหน ถ้าแค่แขนหรือหลัง มันคนละเรื่องกับสักคอหรือใบหน้า ซึ่งอาจจะไม่เหมาะสมในบางบริบทการทำงานจริง ๆ”
เสียงจากฝั่งนี้ชี้ว่า การวิจารณ์นักศึกษาหญิงโดยไม่พิจารณาบริบทของคำถาม อาจเป็นการ "แขวน" และ "รุนแรงเกินไป" และว่า ควรเปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ไม่ใช่แค่ประณาม
การเหมารวม: ภัยเงียบในสังคมไทย
ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด กระแสดราม่านี้ก็ได้เปิดประเด็นที่สำคัญในสังคมไทย คือเรื่องของ “การเหมารวม” และ “การตัดสินคนจากภาพลักษณ์” ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมของเรา
ในหลายปีที่ผ่านมา มีคนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากออกมาเปิดเผยว่าตัวเองมีรอยสัก เช่น เจ้าของกิจการ นักแสดง นักดนตรี นักกีฬา รวมถึงผู้ที่ทำงานในสายเทคโนโลยีและออกแบบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า "รอยสัก" ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความสามารถหรือการศึกษาแต่อย่างใด
การเหยียดรูปลักษณ์โดยอ้างว่าเป็น "มาตรฐานทางสังคม" ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ถูกตีตรารู้สึกเจ็บปวด แต่ยังทำให้ความคิดสร้างสรรค์และความหลากหลายถูกกดทับอย่างไม่เป็นธรรม
โลกเปลี่ยน แต่ทัศนคติยังเหมือนเดิม?
หนึ่งในคำถามสำคัญที่ดราม่านี้ทิ้งไว้ให้สังคมคือ
“เมื่อโลกเปลี่ยนไปไกล ทำไมทัศนคติของคนบางกลุ่มยังอยู่ที่เดิม?”
ในยุคที่มนุษย์ต่างชาติพันธุ์ เพศ สีผิว รสนิยม หรือรูปลักษณ์ภายนอกได้รับการยอมรับและเฉลิมฉลอง ความคิดที่ยังคงแบ่งแยกคนออกจากกันด้วยภาพลักษณ์ภายนอกจึงถูกมองว่า “ล้าหลัง” และไม่สร้างสรรค์
การประกวดดาว-เดือน ซึ่งแต่เดิมควรเป็นพื้นที่ของการแสดงความสามารถ กลับกลายเป็นเวทีที่เผยให้เห็นทัศนคติที่ต้องตั้งคำถามว่า เราควรหล่อหลอมเยาวชนแบบใด? เป็นคนที่พูดในสิ่งที่ “ดูดี” หรือคนที่ “เข้าใจโลกจริง”?
บทเรียนที่ไม่ใช่แค่ของนักศึกษา แต่ของสังคมโดยรวม
แม้คำตอบของนักศึกษาหญิงในครั้งนี้จะเป็นเรื่องที่ควรนำมาทบทวน แต่การประณามเพียงอย่างเดียวโดยไม่ให้โอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา ก็อาจเป็นอีกด้านของ "การตัดสินคน" เช่นกัน
เราควรใช้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนในระดับสังคม เพื่อสร้างการพูดคุยที่เป็นผู้ใหญ่และสร้างสรรค์ เช่น
ทำไมเราจึงยังมีทัศนคติที่ผูกโยงรอยสักกับความไม่ดี?
สื่อควรตั้งคำถามอย่างไรให้วัดทัศนคติอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่โยนคำถามวัดดวง
เราควรให้นักศึกษาเรียนรู้เรื่องทัศนคติและอคติเชิงลึกก่อนออกสู่เวทีสาธารณะหรือไม่?
รอยสักไม่ใช่สัญลักษณ์ของความไร้การศึกษา แต่เป็นเรื่องของตัวตน และการยอมรับ
ดราม่าที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อาจเริ่มต้นจากคำพูดสั้น ๆ บนเวที แต่ได้ขยายไปสู่ประเด็นที่กว้างไกลยิ่งกว่า เป็นการตั้งคำถามถึงรากฐานของการมองคนในสังคมไทย การยอมรับในความหลากหลาย และการให้พื้นที่กับเยาวชนในการเติบโตอย่างมีทัศนคติที่เปิดกว้าง
สุดท้ายแล้ว คำถามไม่ใช่แค่ว่า
"คนมีรอยสักจะทำงานได้ไหม?"
แต่คือ
"เมื่อไหร่ที่เราจะเลิกตัดสินกันจากสิ่งที่อยู่ภายนอกเสียที?"
อ้างอิงจาก: ภาพจากเฟซบุ๊ก ท่านเปา















