ป.ป.ช.เอาจริง! ส่งฟ้องทีมช่าง คดีรถบัสไฟไหม้ 23 ศพ ลั่นต้องมีคนรับผิดชอบ
ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด “นายช่างตรวจรถ” ปมโศกนาฏกรรมไฟไหม้รถบัสนักเรียน คร่าชีวิต 23 ศพ – ละเว้นตรวจสภาพ-ออกรายงานเท็จ เตรียมฟ้องอาญา-ลงโทษวินัย
หนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนขวัญของสังคมไทยเมื่อปลายปี 2567 กำลังจะเดินหน้าสู่ความยุติธรรม เมื่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเป็นเอกฉันท์ ชี้มูลความผิดนายสาธิต เจือนาค อดีตนายช่างตรวจสภาพรถชำนาญการ สำนักงานขนส่งจังหวัดสิงห์บุรี พร้อมพวกรวมหลายราย ในคดีรถบัสนักเรียนไฟไหม้จนมีผู้เสียชีวิตถึง 23 ราย
โดยเหตุการณ์โศกนาฏกรรมนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ขณะรถบัสโดยสาร 2 ชั้นของนักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยา จังหวัดอุทัยธานี กำลังเดินทางมาทัศนศึกษาในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี แต่กลับเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต ใกล้ห้างเซียร์รังสิต กรุงเทพฯ จนเกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง ทำให้นักเรียนเสียชีวิตทันทีถึง 20 ราย ครูอีก 3 ราย รวมผู้เสียชีวิตทั้งหมด 23 ราย
ไฟไหม้เพราะยางระเบิด+รถดัดแปลงผิดกฎหมาย = ความตายที่ป้องกันได้
จากการสืบสวนเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ พบว่า สาเหตุของไฟไหม้ เกิดจาก ยางรถระเบิด ทำให้รถเสียหลักไปกระแทกกับแบริเออร์ริมทาง ก่อนจะเกิดประกายไฟลุกลามไปยังถังแก๊สอย่างรวดเร็ว จุดที่น่าสะเทือนใจคือ รถบัสคันนี้เป็นรถดัดแปลง ไม่ได้มาตรฐาน และ ประตูฉุกเฉินไม่สามารถเปิดใช้งานได้
จึงทำให้เด็กนักเรียนหลายรายที่ติดอยู่ในตัวรถ ไม่มีทางหนีออกมาได้ทัน กลายเป็นความสูญเสียที่เจ็บปวดและรุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งของปี
จากเหตุการณ์นี้ ครอบครัวผู้เสียชีวิตจำนวนมากเรียกร้องให้ภาครัฐตรวจสอบข้อเท็จจริง และหาตัวผู้รับผิดชอบต่อความสูญเสียครั้งนี้ เพราะหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคุณภาพรถบัสอย่างจริงจัง ปัญหานี้ อาจไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้
8 เดือนหลังเหตุการณ์ ป.ป.ช. ขยับ! ชี้มูลนายช่างขนส่งฯ ละเว้นการตรวจสอบ+ออกรายงานเท็จ
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา เพจดัง “Drama-addict” รายงานความคืบหน้าคดีนี้ โดยระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิด นายสาธิต เจือนาค ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง นายช่างตรวจสภาพรถชำนาญการ โดยระบุว่า
"นายสาธิต ละเว้นการตรวจสภาพรถบัสคันเกิดเหตุ และยังจัดทำรายงานผลการตรวจสอบอันเป็นเท็จ เพื่อให้รถที่ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย สามารถต่อทะเบียนและนำมาใช้งานได้ต่อไป"
การกระทำดังกล่าว มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เจ้าพนักงานละเว้นปฏิบัติหน้าที่) และมาตรา 162 (การออกรายงานอันเป็นเท็จ) นอกจากนี้ยังเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และ ถือเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐและเอกชนร่วมสนับสนุนผิดด้วย
นอกจากนายสาธิตแล้ว ป.ป.ช.ยังมีการชี้มูลความผิดทางอาญา แก่ข้าราชการและเอกชนรายอื่น ๆ อีกหลายราย ในฐานะ "ผู้สนับสนุน" ให้เกิดการละเว้นการตรวจสอบดังกล่าว โดยหลังจากนี้ ป.ป.ช. จะดำเนินการส่งสำนวนคดีและรายงานการไต่สวนทั้งหมดให้ อัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อฟ้องคดีอาญาในชั้นศาล และส่งเรื่องให้หน่วยงานต้นสังกัดพิจารณา ลงโทษทางวินัย ต่อไป
เสียงจากสังคม: “นี่คือความตายที่มีคนต้องรับผิดชอบ”
เหตุการณ์นี้สร้างแรงสะเทือนในวงกว้าง เพราะถือเป็น ความสูญเสียจากระบบราชการที่ล้มเหลวในการควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยของสาธารณะ โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนที่ควรได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดในกิจกรรมทัศนศึกษา แต่กลับถูกปล่อยให้โดยสารรถที่ไม่มีคุณภาพและไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างแท้จริง
เสียงจากชาวเน็ตหลายคนแสดงความไม่พอใจ และวิจารณ์ระบบการตรวจรถของหน่วยงานรัฐที่ “แค่จ่ายเงินก็ผ่าน” โดยไม่มีการตรวจเช็กสภาพจริง
“การตรวจสภาพที่ละเลยแบบนี้ทำให้เด็กบริสุทธิ์ 20 ชีวิตต้องจบลงในเปลวเพลิง มันยอมรับไม่ได้”
“ต้องมีคนติดคุกจากเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่โดนย้ายหรือไล่ออก แล้วก็จบ”
ประตูฉุกเฉินเปิดไม่ได้ – สะท้อนมาตรฐานรถโดยสารในไทย
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกพูดถึงจากคดีนี้คือ รถบัสดัดแปลงผิดกฎหมาย ที่ยังถูกนำมาให้บริการนักเรียน และการออกแบบของรถที่ไม่มีมาตรการความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน เช่น ประตูฉุกเฉิน, ระบบดับเพลิง, หรือแม้กระทั่งระบบไฟฉุกเฉิน
“ถ้ารถมีประตูหนีไฟที่ใช้งานได้ เด็กๆ คงหนีออกมาได้มากกว่านี้”
“รถโดยสารที่พาเด็กไปทัศนศึกษาควรต้องมีมาตรฐานที่สูงที่สุด ไม่ใช่รถดัดแปลงถูกๆ แล้วขอแค่มีใบตรวจจากขนส่งก็พอ”
หลายคนมองว่า คดีนี้ควรเป็น บทเรียนสำคัญของประเทศ และควรมีการ ยกระดับมาตรฐานรถโดยสารนักเรียน โดยเฉพาะรถที่ใช้ในการเดินทางไกล รวมถึงต้องจัดระบบ ตรวจสอบหน่วยงานขนส่งให้เข้มงวด กว่านี้
ยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด – ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์
แม้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีมติชี้มูลความผิดแล้ว แต่ตามหลักกฎหมายไทย ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดจากศาล ดังนั้นกระบวนการยุติธรรมจะยังดำเนินต่อไปในชั้นอัยการและศาล
เมื่อการละเลยเล็กๆ นำไปสู่โศกนาฏกรรมระดับชาติ
คดีนี้ตอกย้ำอีกครั้งว่า ความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ใช่แค่ความผิดธรรมดา แต่มันคือ จุดเริ่มต้นของความตาย ความสูญเสีย และความทุกข์ของประชาชน การออกเอกสารเท็จเพียงแค่ใบเดียว อาจหมายถึงชีวิตของคนบริสุทธิ์ที่ไม่มีโอกาสได้กลับบ้านอีกเลย
สิ่งที่สังคมไทยต้องการไม่ใช่แค่คำขอโทษหรือโทษทางวินัยเท่านั้น แต่คือ “ความยุติธรรมอย่างแท้จริง” ต่อครอบครัวของผู้สูญเสีย และมาตรการที่เข้มงวดจริงจังไม่ใช่แค่ในกระดาษ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต
ความยุติธรรมที่แท้จริง...คือการป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำสอง
และผู้ที่ละเลยต่อหน้าที่ ต้องได้รับผลตามกฎหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้





















