เพิ่งเริ่มฝันก็พัง! ร้านกัญชาเปิดใหม่เจอประกาศรัฐฯ เหมือนบีบบังคับให้เลิกกิจการ
เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการ หลัง “สมศักดิ์ เทพสุทิน” เสนอให้ “กัญชา” กลับไปเป็นยาเสพติด – เจ้าของร้านเจ็บหนัก สูญกว่า 10 ล้าน วอนรัฐฟังเสียงประชาชนตัวเล็กๆ
กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่สั่นสะเทือนวงการธุรกิจและผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศอีกครั้ง เมื่อ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกมาระบุอย่างชัดเจนว่า “อนาคตกัญชาควรถูกจัดกลับไปเป็นยาเสพติด” พร้อมลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่มีเนื้อหาสาระสำคัญ คือ “ให้ยกเลิกประกาศเดิมปี 2565 และให้ ‘ช่อดอกกัญชา’ เป็นสมุนไพรควบคุม” ซึ่งหมายความว่าการผลิต การจำหน่าย หรือการแปรรูปเพื่อการค้าจะต้องได้รับใบอนุญาตอย่างเข้มงวดภายใต้กฎหมาย และต้องมาจากแหล่งผลิตที่ผ่านการรับรองของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
มาตรการใหม่นี้ ยังระบุชัดว่า “ห้ามจำหน่ายกัญชาเพื่อการสูบในสถานประกอบการ” ยกเว้นในกรณีที่ใช้เพื่อการแพทย์ โดยผู้มีวิชาชีพที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ซึ่งนโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผู้ค้ากัญชารายย่อยจำนวนมากที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ รวมถึงบางรายที่ลงทุนไปนับล้านบาท โดยหวังสร้างรายได้จากสิ่งที่เคยได้รับการประกาศว่าเป็น “พืชเศรษฐกิจใหม่”
เสียงจากผู้ได้รับผลกระทบ – "เพิ่งเปิดสาขาใหม่ได้ 2 วัน ก็เจอกฎฟ้าผ่า"
ทีมผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังร้านจำหน่ายกัญชาแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี และได้พบกับ นายทศวรรษ อายุ 25 ปี เจ้าของร้านที่เพิ่งเปิด “สาขาใหม่” ได้เพียง 2 วัน ก่อนจะมีประกาศจากกระทรวงสาธารณสุขออกมา เขาเล่าว่า รู้สึก “เสียหายอย่างหนัก” และ “หมดหนทาง” เพราะเงินที่ลงทุนไปยังไม่ทันได้กำไร ก็ต้องเผชิญกับนโยบายใหม่ที่กระทบกับทั้งระบบ
“ร้านผมเพิ่งเปิดสาขาใหม่ได้ 2 วัน กู้เงินมาลงทุนก็แสนกว่าบาท ตอนนี้ขายไม่ได้เลย เพราะถ้าฝ่าฝืนก็คือผิดกฎหมายทันที ทั้งๆ ที่ร้านผมมีใบอนุญาตถูกต้องครบหมดแล้ว ผมไม่ได้เสพ ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย แค่ขายเพื่อการค้าเท่านั้นเอง”
ไม่เพียงแค่ร้านค้าหน้าร้าน นายทศวรรษยังเปิดเผยว่า ฟาร์มกัญชาของพี่สาว ที่ร่วมลงทุนเพื่อปลูกและจำหน่ายอย่างถูกต้องก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากลงทุนไปกว่า 10 ล้านบาท ในการพัฒนาฟาร์มตามมาตรฐานของรัฐ
“ฟาร์มของพี่สาวผมเสียหายหนักมาก ลงทุนไปเยอะตามข้อกำหนดของรัฐ เพื่อให้มีมาตรฐานถูกต้องทุกอย่าง แล้วพอรัฐเปลี่ยนนโยบายทันทีโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า มันเหมือนเตะตัดขาผู้ประกอบการรายย่อยแบบผมเลยครับ”
เสียงเรียกร้องถึงรัฐ – “อย่าสั่งปิด แต่ควบคุมให้รัดกุมจะดีกว่า”
แม้จะเข้าใจว่ากัญชาเป็นพืชที่มีประเด็นอ่อนไหว และมีคนเห็นต่างมากมายในสังคม แต่นายทศวรรษกล่าวว่า สิ่งที่ภาครัฐควรทำคือ “จัดระเบียบ” มากกว่าการ “สั่งปิด” เพราะการกลับไปห้ามใช้กัญชาอย่างเด็ดขาด ก็อาจทำให้ผู้บริโภคหันกลับไปสู่ “ตลาดมืด” เหมือนในอดีต
“ผมเห็นด้วยว่าไม่ควรให้สูบกันในที่สาธารณะ ไม่ควรขายให้เด็ก และต้องควบคุมให้รัดกุมครับ แต่ไม่ควรถึงขั้นสั่งปิดร้าน หรือยกเลิกทั้งหมด เพราะมันเหมือนฆ่าผู้ประกอบการตัวเล็กๆ ให้ล้มลงต่อหน้าต่อตาเลย”
เขายังเสนอว่า หากต้องการควบคุมให้เข้มงวด ควรออกกฎหมายที่กำหนดอายุผู้ใช้ชัดเจน, ห้ามสูบในพื้นที่สาธารณะ, และควรออกใบอนุญาตให้กับผู้ที่ต้องการใช้เพื่อการแพทย์อย่างถูกต้องตามระบบ
“ถ้ารัฐทำให้มันถูกต้องและมีระบบ ใครอยากเสพก็ต้องมีใบอนุญาต ใครจะปลูกหรือขายก็ต้องมีมาตรฐาน ร้านเราทำตามหมด แต่นโยบายใหม่เหมือนย้อนกลับไปสู่อดีต ซึ่งสุดท้ายก็จะมีคนแอบขายกันอยู่ดี แต่ผิดกฎหมายทั้งหมด”
ประเด็นใหญ่ที่ถูกละเลย – เสียงของผู้ประกอบการรายย่อย
ในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา หลังจากที่ภาครัฐปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด มีผู้ประกอบการจำนวนมากแห่เข้ามาลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชา ไม่ว่าจะเป็นร้านจำหน่ายโดยตรง ร้านอาหารที่มีเมนูกัญชา เครื่องดื่ม สมุนไพรแปรรูป ฟาร์มปลูกกัญชา หรือแม้กระทั่งงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การประกาศอย่างกระทันหันจากกระทรวงสาธารณสุขในปี 2567 นี้ ทำให้ผู้ประกอบการที่กำลังดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง ต้องเผชิญภาวะชะงักงันทันที บางรายถึงกับต้องปิดกิจการ บางรายต้องปลดพนักงาน และบางรายต้องแบกรับหนี้สินก้อนโตโดยไม่มีโอกาสได้ทุนคืน
สิ่งที่น่ากังวลคือ ประชาชนผู้ลงทุนตามนโยบายของรัฐกลับถูกละเลย ไม่ได้รับการชดเชย หรือแม้แต่รับฟังเสียงสะท้อนใดๆ ก่อนการประกาศนโยบาย
เมื่อ "ความหวัง" กลายเป็น "หนี้ก้อนโต"
กรณีของนายทศวรรษและฟาร์มของพี่สาว เป็นเพียงหนึ่งในหลายพันรายทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกลับลำของรัฐ พวกเขาลงทุนด้วยความหวังว่าจะสามารถยืนอยู่ได้ในเศรษฐกิจยุคใหม่ที่รัฐเคยประกาศสนับสนุน แต่กลับต้องแบกหนี้โดยไร้หนทางแก้ไข
“เราทำตามกฎหมายทุกขั้นตอน ทำร้านให้ถูกต้องทุกอย่าง ลงทุนทุกบาทด้วยความเชื่อใจในนโยบายของรัฐ แต่พอเปลี่ยนรัฐบาล ทุกอย่างก็เปลี่ยนหมด เราคือคนธรรมดา ไม่ได้มีเส้น ไม่ได้มีเงินทุนสำรอง พอเจอแบบนี้ก็แทบหมดตัวเลยครับ”
ข้อเสนอจากภาคประชาชน – ปรับ ไม่ใช่ปิด
แม้จะมีความคิดเห็นแตกต่างกันในสังคมเกี่ยวกับเรื่องกัญชา แต่สิ่งที่หลายฝ่ายเห็นตรงกันคือ “รัฐควรควบคุมอย่างมีระบบ” ไม่ใช่การกลับไปสู่ยุคห้ามแบบเด็ดขาด เพราะจะส่งผลให้เกิดปัญหาการค้ายาใต้ดิน และยิ่งยากต่อการควบคุมในระยะยาว
“เรายอมให้มีกฎเข้มขึ้นครับ แต่อย่าสั่งให้ปิดร้านเลย ควรกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจน เช่น ห้ามขายให้เด็ก ห้ามสูบในร้าน ห้ามโฆษณาเกินจริง และต้องรายงานข้อมูลให้กรมการแพทย์แผนไทยรับทราบ”
บทสรุป: อย่าให้ “กัญชา” กลายเป็นเวทีเล่นเกมการเมือง
จากเสียงของผู้ประกอบการรายย่อยอย่างนายทศวรรษ ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า กัญชาไม่ใช่แค่เรื่องของนโยบายทางสาธารณสุขเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของ “ปากท้อง” และ “อนาคต” ของคนจำนวนมากที่ลงทุนตามคำพูดของรัฐ
ถ้าในอนาคต กัญชาจะถูกกลับไปเป็นยาเสพติดตามกฎหมายจริงๆ สิ่งที่ประชาชนต้องการไม่ใช่เพียงแค่คำสั่ง แต่คือ ความชัดเจน ความรับผิดชอบ และการเยียวยาที่เป็นธรรม เพราะประชาชนไม่ใช่เครื่องทดลองในนโยบายของใคร
เพราะหากรัฐยังเดินหน้าเปลี่ยนนโยบายแบบสายฟ้าแลบ โดยไม่ฟังเสียงประชาชนตัวเล็กๆ ก็ไม่ต่างจากการ “เตะตัดขา” คนที่เชื่อฟังกฎหมาย และทำทุกอย่างตามระบบอย่างที่รัฐเคยขอไว้แต่แรก





















