ปลดบล็อกปุ๊บ ทัวร์ลงปั๊บ! คนไทยถล่มคอมเมนต์เฟซบุ๊ก 'ฮุน เซน' สนั่น
"ฮุน เซน ปลดบล็อกคนไทยจากเฟซบุ๊ก – เปิดโพสต์เพลงปลุกใจ ประกาศสามัคคีเพื่อผืนแผ่นดินเขมร"
หลังจากสร้างความฮือฮาไปทั่วโลกออนไลน์ก่อนหน้านี้ กรณีที่เฟซบุ๊กของ “สมเด็จฮุน เซน” (Samdech Hun Sen of Cambodia) อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานวุฒิสภาของประเทศกัมพูชา ได้ดำเนินการปิดกั้น IP ผู้ใช้งานจากประเทศไทย จนกลายเป็นประเด็นร้อนในหลายแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของไทย ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ปรากฏว่าเฟซบุ๊กของสมเด็จฮุน เซนได้ ปลดบล็อกการเข้าถึงของผู้ใช้งานจากประเทศไทยแล้ว ซึ่งทำให้ชาวไทยสามารถกลับเข้าไปติดตามความเคลื่อนไหวของอดีตผู้นำกัมพูชาท่านนี้ได้อีกครั้ง
โพสต์แรกหลังปลดบล็อก – เพลงปลุกใจ “อังกอร์กัมพูชา”
สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคนไทยทันทีหลังสามารถเข้าถึงเพจได้ คือโพสต์ล่าสุดของสมเด็จฮุน เซน ที่มาในรูปแบบของ คลิปวิดีโอเพลง “อังกอร์กัมพูชา” ซึ่งเป็นเพลงปลุกใจชาติที่มีเนื้อหายกย่องและเชิดชูเกียรติภูมิคุ้มกันของชนชาติเขมร โดยสมเด็จฮุน เซนได้เขียนข้อความประกอบโพสต์ว่า:
“ขออุทิศบทเพลงนี้ให้กับบรรพบุรุษชาวกัมพูชาทุกชั่วอายุคน ประวัติศาสตร์อันสูงส่งของชาวกัมพูชาเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนโยน มีเกียรติ กล้าหาญ และอดทน ขอให้ชาวเขมรทุกคนสามัคคีกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทหารแนวหน้าของเรา ขอให้เราทุกคนสามัคคีกันชูธงเขมรเพื่อความสมบูรณ์ของดินแดนเขมร”
ข้อความดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการ ปลุกขวัญและกำลังใจแก่ประชาชนชาวกัมพูชา พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของความสามัคคีในชาติ และยังอ้างถึงความเสียสละของทหารชายแดน ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมาที่มีกระแสความตึงเครียดในบางพื้นที่
การเคลื่อนไหวต่อเนื่อง – จากการท่องเที่ยวถึงการเมือง
นอกจากโพสต์เพลงแล้ว เพจของสมเด็จฮุน เซนยังมีการโพสต์คลิปโปรโมตการท่องเที่ยวของกัมพูชา ที่แสดงภาพความงดงามของปราสาทนครวัด วัฒนธรรมประเพณีของชาวกัมพูชา และวิถีชีวิตของผู้คนที่เป็นมิตร อันถือเป็นความพยายามในการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของประเทศในเชิงบวก ท่ามกลางความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์
ในโพสต์ถัดมา ยังมีการแชร์ภาพของ ฮุน มาเนต (Hun Manet) นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของกัมพูชา ซึ่งเป็นบุตรชายของสมเด็จฮุน เซน ขณะลงพื้นที่พบปะประชาชนอย่างใกล้ชิดในหลายจังหวัดของประเทศ ภาพเหล่านี้สะท้อนถึง บทบาททางการเมืองของตระกูลฮุน ที่ยังคงแข็งแกร่งและมีบทบาทสำคัญต่อสังคมกัมพูชา
ชาวเน็ตไทยแห่คอมเมนต์ – วิพากษ์วิจารณ์อย่างล้นหลาม
สิ่งที่ตามมาอย่างรวดเร็วหลังการปลดบล็อกก็คือการ บุกคอมเมนต์ของชาวไทย ใต้โพสต์ของฮุน เซนจำนวนมาก บางส่วนเข้าไปแสดงความเห็นในเชิงวิพากษ์หรือเหน็บแนม บางส่วนแสดงความสงสัยถึงเหตุผลที่ถูกบล็อกในครั้งแรก และบางรายก็แสดงออกถึงท่าทีไม่พอใจ โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการกล่าวถึงความสมบูรณ์ของ “ดินแดนเขมร” ซึ่งอาจทำให้บางคนตีความว่าเป็นการกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ด้านพรมแดนระหว่างสองประเทศ
ในขณะเดียวกันก็มีชาวกัมพูชาเข้ามาตอบโต้คอมเมนต์ของคนไทยด้วยเช่นกัน กลายเป็นพื้นที่ถกเถียงกันในเชิงประวัติศาสตร์ การเมือง และความรู้สึกของทั้งสองชาติ
วิเคราะห์เบื้องลึก: ทำไมเฟซบุ๊ก “ฮุน เซน” จึงบล็อกไทยก่อนหน้านี้?
กรณีการปิดกั้น IP ประเทศไทยในเฟซบุ๊กของสมเด็จฮุน เซนก่อนหน้านี้ ถูกมองว่ามีความเกี่ยวข้องกับ กระแสวิพากษ์วิจารณ์จากคนไทย ที่เกิดขึ้นภายหลังจากสถานการณ์ด้านการเมืองระหว่างไทย-กัมพูชาเริ่มมีความอ่อนไหวมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ทางประวัติศาสตร์และการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือทางอำนาจนุ่ม (soft power)
อย่างไรก็ตาม การปลดบล็อกครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณที่แสดงว่า กัมพูชาอาจต้องการลดแรงกดดันทางสังคม หรือปรับภาพลักษณ์ต่อสายตาชาวโลก ให้เปิดกว้างและพร้อมรับฟังมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การทูตของกัมพูชาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ที่เน้นการมีส่วนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านและการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาในบริบทโซเชียลมีเดีย
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าโซเชียลมีเดียกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารทางการเมืองระหว่างประเทศอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ความคิดเห็นของประชาชนสามารถส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้มีอำนาจในระดับสูง และยังมีผลต่อทิศทางนโยบายและภาพลักษณ์ของประเทศได้โดยตรง
ในกรณีของ “สมเด็จฮุน เซน” การสื่อสารผ่านเฟซบุ๊กยังคงเป็นเครื่องมือที่เขาเลือกใช้มาตลอดหลายปี แม้จะลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม แสดงให้เห็นถึงการรักษาอิทธิพลผ่านโลกดิจิทัล และสะท้อนถึงวิธีการควบคุมความคิดของประชาชนผ่านเนื้อหาที่สื่อออกมา
สรุป: มากกว่าการปลดบล็อก คือการเมืองแห่งการรับรู้
การปลดบล็อก IP ไทยจากเฟซบุ๊กของสมเด็จฮุน เซนในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้คนไทยสามารถเข้าชมโพสต์ต่างๆ ได้เท่านั้น แต่ยังถือเป็น “การเปิดพื้นที่แห่งความขัดแย้ง” ที่ถูกกดทับไว้ให้ระเบิดออกมาอีกครั้งในโลกออนไลน์ พร้อมทั้งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ บทบาทของโซเชียลมีเดียในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่ผู้คนจำนวนมากมีการตื่นตัวทางการเมืองและประวัติศาสตร์
อนาคตของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาอาจไม่ได้วัดกันแค่ในสนามการเมืองหรือเศรษฐกิจ แต่รวมถึงการรับรู้ของประชาชนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการหล่อหลอมทัศนคติของคนรุ่นใหม่ทั้งสองฝั่งต่อกันในระยะยาว





















