"สรยุทธ" ฟาดแรง! ละครไทยโดนเคลม สวนกลับสิ่งเดียวที่เป็นของกัมพูชาคือ...?
เดือดสนั่นโซเชียล! ชาวเน็ตกัมพูชากล่าวหาละครไทย "ใจขังเจ้า" ลอกเลียนวัฒนธรรม ดราม่าลามถึง "บุพเพสันนิวาส" ชาวเน็ตไทยสวนกลับไฟลุก
เกิดเป็นประเด็นร้อนแรงขึ้นมาอย่างฉับพลันในโลกออนไลน์ หลังจากที่ละครไทยเรื่องใหม่อย่าง “ใจขังเจ้า” ซึ่งนำแสดงโดยพระเอกซุปเปอร์สตาร์ ณเดชน์ คูกิมิยะ และนางเอกดาวรุ่ง พาย รินรดา ออกอากาศไปไม่นาน ก็กลายเป็นเป้าหมายของกระแสดราม่าจากชาวเน็ตฝั่งกัมพูชาที่กล่าวหาว่า ชุดเครื่องแต่งกายและรอยสักในละครมีลักษณะคล้ายกับวัฒนธรรมของกัมพูชา โดยระบุว่าอาจเป็นการลอกเลียนหรือหยิบยืมวัฒนธรรมโดยไม่ได้ให้เครดิต
ไม่เพียงเท่านั้น ดราม่าดังกล่าวยังลุกลามไปถึงละครไทยเรื่องดังระดับตำนานอย่าง “บุพเพสันนิวาส” ซึ่งเคยสร้างปรากฏการณ์ในหลายประเทศ รวมถึงมีการรีเมคและสร้างภาพยนตร์ภาคต่อ โดยชาวเน็ตบางส่วนฝั่งกัมพูชากล่าวว่า เนื้อหาบางตอนมีความคล้ายคลึงกับเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ของกัมพูชา จนเกิดการถกเถียงในหลายประเด็น
ดราม่าบานปลายจาก “ใจขังเจ้า” ถึง “บุพเพสันนิวาส”
ต้นตอของเรื่องเริ่มจากภาพโปรโมตและตัวอย่างละคร “ใจขังเจ้า” ที่เผยให้เห็นเครื่องแต่งกายย้อนยุค และองค์ประกอบบางอย่าง เช่น รอยสักลวดลายตามตัวของตัวละครชาย ซึ่งกลุ่มชาวเน็ตกัมพูชาบางส่วนระบุว่า คล้ายกับ “ยันต์เขมร” หรือศิลปะลวดลายเฉพาะของกัมพูชา พร้อมกับกล่าวหาว่า “ประเทศไทยมักอ้างว่าเป็นเจ้าของวัฒนธรรมที่มีรากเหง้ามาจากเขมร”
กระแสดังกล่าวเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อมีเพจภาษาเขมรชื่อหนึ่ง โพสต์เปรียบเทียบภาพจากละครไทยกับภาพประวัติศาสตร์กัมพูชา พร้อมเขียนแคปชั่นในเชิงเสียดสี และส่งผลให้ชาวเน็ตไทยเข้ามาตอบโต้ทันควัน
“ไหนว่าปิดอินเทอร์เน็ตไทย? ยังตามดูละครไทยได้อยู่เลย” “ถ้าไม่ดูแล้วจะรู้ได้ไงว่าลอก? หรือติดละครไทยจนเลิกไม่ได้?” “ขนาดบอกแบนละครไทย แต่ยังวิจารณ์ละครไทยได้เป๊ะขนาดนี้”
“สรยุทธ” พิธีกรดังร่วมแสดงความเห็นกลางรายการ
ความร้อนแรงของประเด็นนี้ไม่เพียงสะท้อนอยู่ในโซเชียลเท่านั้น แต่ยัง ลามมาถึงรายการข่าวชื่อดังอย่าง “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ที่มี สรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าวมากประสบการณ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ
ในตอนหนึ่งของรายการ สรยุทธได้กล่าวถึงดราม่านี้ในเชิงติดตลกว่า
“ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง... นี่มันสะท้อนว่า ละครไทยได้รับความนิยมในกัมพูชามากขนาดไหน ถึงกับต้องตามดู ละครยังไม่จบ ก็วิจารณ์ได้ครบทุกฉาก!”
เขายังพูดต่ออีกว่า
“ถ้าข้อกล่าวหาเรื่องชุด รอยสัก หรือเนื้อหาต่าง ๆ ที่อ้างว่าเหมือนวัฒนธรรมกัมพูชาเป็นเรื่องจริง ก็แปลว่า ไทยเรามีวัฒนธรรมร่วมที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งบางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องของการลอกเลียน แต่มันคือมรดกทางวัฒนธรรมที่เคยผสมผสานกันมาตั้งแต่โบราณ”
เมื่อ “วัฒนธรรม” กลายเป็นสนามรบในโลกออนไลน์
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดการถกเถียงกันเรื่อง “การลอกเลียนวัฒนธรรม” ระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะในอดีตเคยมีประเด็นคล้ายกันมาแล้วหลายครั้ง เช่น
กรณี โขนไทย ที่ชาวกัมพูชาบางกลุ่มกล่าวว่าได้รับอิทธิพลจาก “ลโว้” หรือการแสดงโบราณของเขมร
กรณีอาหาร เช่น “ต้มยำกุ้ง” หรือ “ข้าวเหนียวมะม่วง” ที่มีการถกเถียงว่าใครคือเจ้าของต้นตำรับ
การแสดงและเครื่องแต่งกายแบบโบราณ เช่น สไบ ผ้าไหม และลวดลายประณีตของไทย ซึ่งมักจะถูกกล่าวอ้างว่าเหมือนของกัมพูชา
แต่ในกรณีของ “ใจขังเจ้า” และ “บุพเพสันนิวาส” ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของความขัดแย้งเชิงวัฒนธรรมผ่านสื่อบันเทิงที่เข้าถึงง่ายและแพร่กระจายไวอย่างละครโทรทัศน์
วัฒนธรรมคือสิ่งที่ “ใช้ร่วม” หรือ “แย่งเป็นเจ้าของ”?
นักวิชาการหลายคนเคยกล่าวไว้ว่า วัฒนธรรมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีลักษณะ “พหุวัฒนธรรม” คือมีการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และประสมประสานกันตลอดหลายร้อยปี จนยากที่จะบอกว่าอะไรเป็นของใครแบบเด็ดขาด
ดังนั้น การอ้างว่าสิ่งใด “ลอกเลียน” จึงอาจต้องดูในบริบทที่ลึกซึ้งกว่าการดูภาพเปรียบเทียบบนโซเชียลเท่านั้น
วัฒนธรรมไม่ใช่สินค้าลิขสิทธิ์ที่จะมีเจ้าของคนเดียว
แต่เป็นสิ่งที่เติบโตได้จากการเรียนรู้ การแบ่งปัน และการเข้าใจซึ่งกันและกัน
ชาวเน็ตไทย-เขมร: แทนที่จะถกเถียง อาจลองเปิดใจเรียนรู้ร่วมกัน
ในขณะที่ดราม่าลุกลามไปเรื่อย ๆ ชาวเน็ตบางส่วนทั้งไทยและกัมพูชาก็เริ่มเรียกร้องให้ ลดความขัดแย้ง และหันมาใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้วัฒนธรรมของกันและกันให้มากขึ้น
บางความเห็นเสนอว่า
ควรเปิดเวทีเสวนาร่วมระหว่างนักวิชาการสองชาติ
สนับสนุนให้มี “ละครร่วมทุน” หรือซีรีส์ที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา
ให้หน่วยงานด้านวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศร่วมมือกันเผยแพร่มรดกร่วมของภูมิภาค
ละครเป็นเพียงภาพสะท้อน ความขัดแย้งอยู่ในใจคน
ละคร “ใจขังเจ้า” หรือแม้แต่ “บุพเพสันนิวาส” อาจเป็นเพียงสะพานเชื่อมทางวัฒนธรรมที่ควรจะสร้างความเข้าใจ แต่เมื่อใดที่ผู้ชมพยายามดึงความต่างเพื่อใช้โจมตี หรือชี้ผิดโดยไม่เปิดใจ ผลที่ได้คือความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น
ในยุคที่พรมแดนทางกายภาพอาจมีเส้นแบ่งชัดเจน แต่พรมแดนทางวัฒนธรรมกลับเลือนรางมากขึ้นเรื่อย ๆ เราอาจต้องทบทวนใหม่ว่า
“เราควรจะต่อสู้เพื่อเป็นเจ้าของอดีต หรือจะร่วมมือกันสร้างอนาคต”















