บังคลาเทศเปิดตัวนโยบายพลังงานหมุนเวียนใหม่
วันนี้ [ตามเวลาท้องถิ่น] รัฐบาลบังคลาเทศ ได้ปรับปรุงนโยบายพลังงานหมุนเวียนใหม่ หลังจากผ่านไป 17 ปี โดยตั้งเป้าที่จะผลิตพลังงาน จากแหล่งพลังงานสีเขียว อย่างน้อยร้อยละ 20 ของความต้องการพลังงานของประเทศ ภายในปี 2030 นโยบายใหม่เสนอการยกเว้นภาษีนิติบุคคล เป็นระยะเวลา 10 ปีสำหรับผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียน ของภาครัฐและเอกชนทั้งหมด ตามด้วยการยกเว้นภาษีบางส่วนอีก 5 ปี
กรมพลังงานได้อัปโหลดนโยบายพลังงานหมุนเวียน ของปี 2025 ขึ้นบนเว็บไซต์ของกรมพลังงานแล้ว นโยบายดังกล่าวอนุญาตให้ลูกค้าทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และเชิงพาณิชย์ สามารถติดตั้งระบบพลังงานหมุนเวียนบนหลังคา สนามหญ้า หรือ บริเวณอาคารได้แล้ว โดยพลังงานที่ผลิตได้ สามารถขายให้หน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนได้... ปัจจุบัน ประเทศบังกลาเทศมีกำลังการผลิตไฟฟ้า จากพลังงานหมุนเวียนทั้งในระบบและนอกระบบ ประมาณ 1,563 เมกะวัตต์ ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 8 ของความต้องการในปัจจุบัน และ ร้อยละ 5.6 ของกำลังการผลิตทั้งหมดของประเทศ ที่ 27,426 เมกะวัตต์ รัฐบาลจะส่งเสริมการซื้อขายแบบ "P2P" ในพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นระบบแบบกระจายอำนาจ ที่ทำให้ผู้บริโภคไฟฟ้าที่มีแผงโซลาร์เซลล์ หรือ ระบบหมุนเวียน สามารถแลกเปลี่ยนไฟฟ้าส่วนเกินที่ผลิตได้ กับผู้บริโภครายอื่นโดยตรงผ่านเครือข่าย การจำหน่ายและการส่ง บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าจะครอบคลุมพื้นที่ควบคุมของตน สำหรับการผลิตไฟฟ้าผ่านโครงข่ายพลังงานแสงอาทิตย์แบบ มินิ ไมโคร นาโน พีโค หรือ ระบบไฮบริด ที่ผสมผสานแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ในกรณีที่ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าผ่านโครงข่ายไฟฟ้าแห่งชาติได้... นอกจากนี้ ภาคเอกชนอาจติดตั้งและดำเนินการโครงข่ายไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานหมุนเวียนแบบมินิ ไมโคร นาโน และ พิโค บนพื้นฐานของตลาดที่มีการแข่งขันกันตามความเหมาะสม ค่าธรรมเนียมการจำหน่ายไฟฟ้า จะกำหนดโดยคณะกรรมการกำกับดูแลพลังงานบังคลาเทศ
หน่วยงานพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและยั่งยืน จะนำข้อผูกพันในการซื้อพลังงานหมุนเวียนมาใช้ ซึ่งเป็นข้อบังคับทางกฎระเบียบ ที่กำหนดให้บริษัทสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าทั้งหมด รวมถึงหน่วยงานหรือผู้บริโภคที่ได้รับการคัดเลือกอื่นๆ จะต้องซื้อพลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนในจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่กำหนด นอกจากนี้ จะมีการนำใบรับรองพลังงานหมุนเวียนมาใช้ด้วย ซึ่งจะเป็นใบรับรองที่สามารถซื้อขายได้ โดยจะระบุคุณลักษณะด้านสิ่งแวดล้อมของพลังงานไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ที่ผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน นโยบายดังกล่าวอนุญาตให้ หน่วยงานพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและยั่งยืน ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลัก ภายใต้แผนกพลังงาน ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการประสานงาน จัดการ และ ดูแลโครงการพลังงานหมุนเวียน ที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายและอยู่นอกโครงข่ายทั้งหมด หน่วยงานพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและยั่งยืน กล่าวอีกว่า "หน่วยงานพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและยั่งยืน จะต้องพัฒนาแผนงานหรือแผนดำเนินการด้านพลังงานหมุนเวียน ภายในกรอบเวลาตามนโยบายนี้" และ "หน่วยงานพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและยั่งยืน จะต้องสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรบุคคล และ การผลิตอุปกรณ์พลังงานหมุนเวียนในท้องถิ่น และ อำนวยความสะดวกและติดตามคุณภาพ ของอุปกรณ์ดังกล่าวด้วย" หน่วยงานจะริเริ่มจัดตั้ง ห้องปฏิบัติการวิจัยและควบคุมคุณภาพแห่งชาติ สำหรับอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ นโยบายยังระบุด้วยว่า "อุปกรณ์สามารถทดสอบได้ใน ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง ที่ได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการรับรองบังคลาเทศ หรือ ในห้องปฏิบัติการในท้องถิ่นที่ขึ้นทะเบียนโดย หน่วยงานพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและยั่งยืน" นโยบายดังกล่าวมีจุดมุ่งหมาย เพื่อลดราคาไฟฟ้าและเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ใช้ประโยชน์จากศักยภาพของแหล่งพลังงานหมุนเวียน และ ส่งเสริมเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง กระตุ้นการผลิตอุปกรณ์พลังงานหมุนเวียนในท้องถิ่น และ ขยายกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้มั่นใจถึงความมั่นคงด้านพลังงาน และ ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล นโยบายดังกล่าวกำหนดนิยาม ของพลังงานหมุนเวียนว่า "เป็นพลังงานที่ผลิตจากทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีการเติมเต็มอย่างต่อเนื่อง เช่น แสงแดด ลม ฝน น้ำขึ้นน้ำลง คลื่น ความร้อนใต้พิภพ และ แหล่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกัน" แหล่งพลังงานอื่นๆ ได้แก่ พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานน้ำขึ้นน้ำลง กระแสน้ำในแม่น้ำ พลังงานคลื่น ไฮโดรเจนสีเขียว เชื้อเพลิงชีวภาพสีเขียว ชีวมวล และ พลังงานจากขยะ นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ 13 ประเภท ได้แก่ ไฟถนนพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบภายในบ้าน ระบบน้ำดื่ม พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา พลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ และ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
การส่งเสริมให้เกษตรกรรมอยู่ร่วมกัน กับโครงการพลังงานหมุนเวียน เช่น ระบบเกษตรไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ เพื่อให้แน่ใจว่ามีความมั่นคงทางอาหาร ควบคู่ไปกับความมั่นคงด้านพลังงาน นโยบายดังกล่าวระบุเพิ่มเติมว่า "รัฐบาลอาจจัดสรรที่ดิน เช่น พื้นที่รกร้าง พื้นที่เกษตรกรรมของรัฐ พื้นที่ถ่านหิน ริมแม่น้ำ ชายฝั่งทะเล และ พื้นที่ภูเขา เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน"




















