โซเชียลเดือด! ค่านั่งเรือเที่ยวตลาดน้ำ 3 คน 9,500 บาท แพงเกินรับได้?
ดราม่าค่าบริการนั่งเรือ 9,500 บาท! นักท่องเที่ยวโวยเที่ยวตลาดน้ำชื่อดัง แพงเกินจริงหรือแค่เข้าใจผิด? ชาวเน็ตลั่น “ราคาแบบนี้ ขับเรือไปลงทะเลเหอะ!”
เรียกได้ว่ากลายเป็น ประเด็นร้อนแรงในโลกออนไลน์ ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้ออกมาโพสต์ภาพพร้อมข้อความในกลุ่มยอดนิยมอย่าง “พวกเราคือผู้บริโภค” เล่าประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการไปเที่ยว ตลาดน้ำชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทย แต่ต้องตกใจแทบล้มทั้งยืนเมื่อเจอกับ ค่าบริการนั่งเรือสุดโหดถึง 9,500 บาท สำหรับผู้โดยสารเพียง 3 คนเท่านั้น
โพสต์ดังกล่าวมีข้อความระบุว่า…
“วันนี้ไปตลาดน้ำที่นึงมาค่ะ ค่าเรือ 3 คน 9,500 บาท คนขับบอกว่าเป็นราคาปกติทั้งคนไทยและต่างชาติ นั่งตั้งแต่ประมาณ 10 โมงเช้า – เที่ยงกว่าๆ (ประมาณไม่เกิน 3 ชั่วโมง) มีชาวต่างชาติ 2 คน คนไทย 1 คนค่ะ”
แม้ผู้โพสต์จะไม่ได้ระบุชื่อชัดเจนว่าคือตลาดน้ำแห่งใด แต่ก็มีการคาดเดากันอย่างกว้างขวางว่าเป็นตลาดน้ำที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ และมักเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
โลกออนไลน์ระอุ – คนไทยตั้งคำถาม “แพงเกินไปหรือเปล่า?”
ทันทีที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ โลกโซเชียลก็แทบลุกเป็นไฟ โดยมีผู้คนจำนวนมากเข้ามา แสดงความคิดเห็น วิจารณ์ และตั้งคำถาม เกี่ยวกับความเหมาะสมของราคาดังกล่าว
บางคนถึงกับเขียนว่า:
“9,500 บาท? นี่ขับเรือออกอ่าวไทยเลยหรือคะ?”
“ราคาแบบนี้ถือว่าโกงหรือเปล่า แจ้งความได้ไหม?”
“สำหรับแค่เรือพาเที่ยวไม่เกิน 3 ชั่วโมง ราคานี้ถือว่าเกินจริงมาก”
ในขณะที่บางความเห็นมองว่า อาจมี ความเข้าใจผิด หรือเป็นการเลือก “แพ็กเกจพิเศษ” โดยไม่รู้ตัว ซึ่งต้องการการชี้แจงเพิ่มเติมจากทั้งคนโพสต์และคนให้บริการ
ข้อมูลเบื้องต้น: ปกติแล้วราคานั่งเรือเที่ยวตลาดน้ำเท่าไหร่?
สำหรับราคาการนั่งเรือในตลาดน้ำชื่อดังทั่วไปในประเทศไทยนั้น จากการสำรวจข้อมูลหลายแห่ง เช่น ตลาดน้ำดำเนินสะดวก, ตลาดน้ำอัมพวา, ตลาดน้ำคลองลัดมะยม, รวมถึงตลาดน้ำที่เปิดสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ พบว่า…
เรือพายแบบดั้งเดิม มักคิดราคาเริ่มต้นประมาณ 300–800 บาทต่อเที่ยว
เรือยนต์ ที่พาเที่ยวตามเส้นทางหลัก อาจมีราคาตั้งแต่ 1,000 – 2,500 บาท แล้วแต่เส้นทางและระยะเวลา
หากเป็นการเหมาลำทั้งวัน หรือมีบริการพิเศษ เช่น แวะหลายจุด ร้านอาหาร, ไหว้พระ, แพชมวิว ราคาสูงสุดอยู่ที่ราวๆ 3,000 – 4,500 บาทต่อกลุ่ม เท่านั้น
ดังนั้นเมื่อมีการเรียกเก็บถึง 9,500 บาท สำหรับการพาเที่ยวโดยเรือภายในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง จึงไม่แปลกที่หลายฝ่ายจะรู้สึกว่า “มีอะไรบางอย่างผิดปกติ”
สะท้อนปัญหาเรื้อรัง: นักท่องเที่ยวโดน “ฟัน” ค่าใช้จ่าย?
ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการท่องเที่ยวไทย เพราะมีหลายกรณีที่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวต่างชาติ มักถูกเรียกเก็บค่าบริการเกินจริง ไม่ว่าจะเป็น
ค่ารถตุ๊กตุ๊กแพงเกินจริง
ค่าอาหารทะเลราคาสูงผิดปกติ
ค่าบริการพาเที่ยวที่ “แฝงค่าแนะนำร้าน”
แม้ภาครัฐจะมีมาตรการควบคุม แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการบางรายที่ใช้โอกาสนี้ในการ เอาเปรียบผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่ผู้บริโภคไม่สามารถเปรียบเทียบราคาได้ทันที
กรณี 9,500 บาทครั้งนี้จึงอาจเป็น “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่สะท้อนถึงปัญหาใหญ่กว่าที่หลายคนคิด
เสียงจากชาวเน็ต: “ไม่ใช่แค่ต่างชาติ คนไทยก็โดน!”
โพสต์ในกลุ่ม “พวกเราคือผู้บริโภค” ทำให้คนไทยจำนวนมากเริ่มออกมาแชร์ประสบการณ์ของตนเองเกี่ยวกับการถูกเรียกเก็บค่าใช้จ่ายแบบ “เว่อร์เกินจริง” โดยมีบางคนระบุว่า...
“ตอนนั้นไปกับเพื่อนต่างชาติ โดนคิดค่าขนมครกถาดละ 180 บาท”
“พอพูดภาษาอังกฤษกับเพื่อน คนขายบอกเลยว่า ‘มีราคาสำหรับฝรั่งกับคนไทย’ แบบไม่อาย”
“เวลาต่อรองราคา คนขายถามว่าเป็นคนไทยเหรอ? ถ้าใช่จะลด แต่ถ้าอยู่เฉยๆ จะคิดราคาเต็ม”
กรณีเช่นนี้ทำให้หลายคนมองว่า การท่องเที่ยวไทยอาจกำลังเสียภาพลักษณ์ในสายตาชาวโลก โดยไม่รู้ตัว
ข้อเรียกร้องจากประชาชน: ต้องมีหน่วยงานเข้าตรวจสอบ
หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ออกไปในวงกว้าง หลายคนเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
กรมการท่องเที่ยว
กระทรวงพาณิชย์
สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
หรือแม้แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เข้าไปตรวจสอบราคาค่าบริการในตลาดน้ำต่างๆ และออกมาตรการ ควบคุม – ติดป้ายราคาชัดเจน – สร้างกลไกตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส โดยเฉพาะในจุดที่นักท่องเที่ยวไม่มีทางเปรียบเทียบราคาได้
“อย่าให้การท่องเที่ยวไทยต้องเสียชื่อเพราะเรื่องแบบนี้ซ้ำซากอีกเลย”
ความไว้ใจคือทุนทางสังคม อย่าทำลายเพื่อกำไรระยะสั้น
เรื่องราวของ “ค่าบริการนั่งเรือ 9,500 บาท” ไม่ได้สะท้อนแค่ความไม่พอใจของผู้บริโภค แต่ยังชี้ให้เห็นว่า ความไว้ใจของนักท่องเที่ยวต่อผู้ประกอบการในไทย กำลังถูกกัดเซาะลงเรื่อยๆ หากไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย วัฒนธรรมที่น่าหลงใหล และผู้คนที่มีน้ำใจ แต่สิ่งเหล่านี้จะถูกทำลายลงทันที หากการท่องเที่ยวกลายเป็น “ช่องทางหาเงินแบบไร้จริยธรรม”
เราอาจได้เงินจากนักท่องเที่ยวครั้งเดียว แต่เสียโอกาสในการกลับมาอีกครั้งตลอดชีวิต
หวังว่าเหตุการณ์นี้จะไม่จบเพียงแค่การแชร์และดราม่าในโซเชียล แต่จะกลายเป็นแรงผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหันมาใส่ใจจริงจัง และให้ความคุ้มครองทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยอย่างเสมอภาค









