ทายาทเพียบ! ผู้ก่อตั้ง Telegram เขียนพินัยกรรมยกสมบัติ 4 แสนล้านให้ลูก 100 คน
“พาเวล ดูรอฟ” แห่ง Telegram เขียนพินัยกรรมมอบมรดก 4.5 แสนล้านบาทให้ลูก 100 คน! เบื้องหลังเจ้าพ่อเทคโนโลยีผู้ท้าทายอำนาจรัฐทั่วโลก
หนึ่งในบุคคลที่โลกไอทีและเทคโนโลยีจับตามองมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นชื่อของ พาเวล ดูรอฟ (Pavel Durov) ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็น “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กแห่งรัสเซีย” และยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งแอปพลิเคชันส่งข้อความชื่อดังอย่าง Telegram ซึ่งมีผู้ใช้งานทั่วโลกนับพันล้านคนในแต่ละเดือน
ล่าสุด พาเวล ดูรอฟได้ออกมาเปิดเผยเรื่องส่วนตัวที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลกอีกครั้ง ผ่านการสัมภาษณ์พิเศษกับนิตยสาร Le Point ของฝรั่งเศส โดยเขาเปิดเผยว่าเขาได้จัดทำ พินัยกรรมอย่างเป็นทางการ เรียบร้อยแล้ว เพื่อมอบมรดกมูลค่ามหาศาลกว่า 13,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 456,000 ล้านบาท) ให้แก่ “ลูกๆ” ของเขากว่า 100 คน
เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นข่าวซุบซิบแวดวงเศรษฐีเทคโนโลยี แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงแง่มุมลึกซึ้งของชายผู้กล้าท้าทายอำนาจรัฐ และมองโลกด้วยแนวคิดที่แตกต่างจากมหาเศรษฐีรายอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง
ลูก 100 คน? พ่อผู้ให้มากกว่าสเปิร์ม
แม้จะเป็นที่รู้กันว่า พาเวล ดูรอฟ มีลูก 6 คนจากความสัมพันธ์กับผู้หญิง 3 คน แต่สิ่งที่สร้างความฮือฮาไปมากกว่านั้นคือ เขายอมรับว่าได้บริจาคสเปิร์มให้คลินิกการเจริญพันธุ์หลายแห่ง ทั่วโลก และจากการคำนวณอย่างไม่เป็นทางการ พบว่าอาจมี ลูกทางพันธุกรรมของเขากว่า 100 คน ที่ถือกำเนิดขึ้น
“พวกเขาทั้งหมดเป็นลูกของผม และทุกคนจะมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน! ผมไม่อยากให้พวกเขาต้องมาทะเลาะกันหลังจากที่ผมเสียชีวิต”
— พาเวล ดูรอฟ กล่าวกับ Le Point
คำพูดของเขานั้นสะท้อนแนวคิดแบบ “เสรีนิยมแบบสุดขั้ว” ที่ไม่เพียงปฏิเสธรูปแบบครอบครัวดั้งเดิม แต่ยังขยายคำนิยามของ “พ่อ” ไปสู่ระดับใหม่ที่เชื่อมโยงกันผ่านพันธุกรรมและเจตนาที่จะส่งต่อมรดก โดยไม่คำนึงถึงบริบททางสังคมหรือความสัมพันธ์โดยตรง
เงื่อนไขชัดเจน : ไม่แจกฟรี จนกว่าจะอายุ 30
แม้จะดูเหมือนว่าลูกๆ ของเขาจะโชคดีที่ได้รับมรดกมหาศาล แต่พาเวล ดูรอฟก็ ตั้งเงื่อนไขไว้ชัดเจน ว่า ลูกๆ ของเขาจะ ไม่ได้รับเงินแม้แต่บาทเดียว จนกว่าจะมีอายุครบ 30 ปีบริบูรณ์
เขาให้เหตุผลว่า ต้องการให้ลูกๆ ได้ “ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา” ได้ลองผิดลองถูก ได้ฝึกฝนทักษะชีวิต และรู้จักการพึ่งพาตัวเองโดยไม่พึ่งเงินทอง
“ผมอยากให้พวกเขาสร้างตัวเองขึ้นมาด้วยตัวเอง เรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง และสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาบัญชีธนาคาร”
คำกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในหมู่มหาเศรษฐีสายเทคโนโลยี เช่นเดียวกับ บิล เกตส์ หรือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ที่เคยให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่ทิ้งมรดกทั้งหมดให้ลูกๆ แต่ดูรอฟนั้นยกระดับความคิดนี้ไปอีกขั้น ด้วยการยืนยันว่า “ทุกคนต้องเท่าเทียม ไม่ว่าจะเกิดจากหญิงใดก็ตาม”
เหตุใดจึงรีบเขียนพินัยกรรม?
เมื่อถูกถามว่าเหตุใดจึงรีบเขียนพินัยกรรมตั้งแต่อายุยังน้อยเพียง 40 ปี พาเวล ดูรอฟให้คำตอบที่น่าตกใจไม่น้อย เขาบอกว่า งานของเขามีความเสี่ยงสูงอย่างมาก
“การปกป้องเสรีภาพ ทำให้คุณมีศัตรูมากมาย โดยเฉพาะในประเทศที่มีอำนาจ”
นี่ไม่ใช่คำกล่าวที่กล่าวลอยๆ เพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Telegram ได้ตกเป็นเป้าหมายของหลายรัฐบาลทั่วโลก โดยเฉพาะรัฐบาลที่พยายามควบคุมการสื่อสารของประชาชน เช่น รัสเซีย, อิหร่าน, อินเดีย, จีน และแม้แต่บางประเทศในยุโรปตะวันตก
Telegram กลายเป็น “อาวุธแห่งเสรีภาพ” ของประชาชนทั่วโลก ที่สามารถสื่อสารได้โดยไม่ต้องกลัวการสอดแนม ด้วยการเข้ารหัสแบบ end-to-end ที่แม้แต่ผู้ให้บริการเองก็ไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้
ดาบสองคม : Telegram และด้านมืดของเทคโนโลยี
แม้ Telegram จะถูกยกย่องว่าเป็นเครื่องมือแห่งเสรีภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า Telegram กลายเป็นแหล่งรวมของกิจกรรมผิดกฎหมาย มากขึ้นในช่วงหลัง
เนื่องจากการรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้อย่างเข้มงวด Telegram จึงถูกใช้เป็น ช่องทางฟอกเงิน, ซื้อขายยาเสพติด, เผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก, และ ใช้ประสานงานของกลุ่มหัวรุนแรง
รายงานจากหลายหน่วยงานความมั่นคงเปิดเผยว่า Telegram ถูกใช้โดยเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ และแม้ว่า Telegram จะเคยร่วมมือกับบางประเทศในการปิดบัญชีผิดกฎหมาย แต่ก็ยังมี ช่องว่างขนาดใหญ่ในระบบควบคุม
ในปีที่แล้ว พาเวล ดูรอฟเคยถูกจับกุมและตั้งข้อกล่าวหาในบางประเทศว่า ละเลยการควบคุมเนื้อหา ทำให้แอปพลิเคชันของเขาถูกใช้เพื่อก่ออาชญากรรม
พาเวล ดูรอฟ: ชายผู้เป็นตำนานแห่งการต่อต้านรัฐ
ชื่อของดูรอฟไม่ได้เริ่มต้นจาก Telegram แต่ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ก่อตั้ง VK (VKontakte) ซึ่งเปรียบเสมือน Facebook ของรัสเซีย และเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมที่สุดในประเทศบ้านเกิดของเขา
อย่างไรก็ตาม เขาถูกกดดันจากรัฐบาลรัสเซียให้เปิดเผยข้อมูลของผู้ใช้งานและปิดบัญชีของกลุ่มต่อต้านรัฐ แต่ดูรอฟปฏิเสธ และในปี 2014 เขาถูกปลดจากตำแหน่งอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้เขาลาออกและเดินทางออกนอกประเทศ
นับจากนั้นมา เขาใช้ชีวิตแบบไร้สัญชาติ พัฒนา Telegram และกลายเป็น “พลเมืองของโลก” ที่ยึดมั่นในเสรีภาพทางดิจิทัล
มรดกที่แท้จริงอาจไม่ใช่เงิน แต่คือ “อุดมการณ์”
แม้ข่าวพินัยกรรมและลูก 100 คนจะสร้างความฮือฮาในโลกโซเชียล แต่สำหรับผู้ที่ติดตามดูรอฟมานาน ต่างรู้ดีว่ามรดกที่เขาทิ้งไว้ให้โลกนั้นอาจไม่ใช่เพียงแค่เงินทองมหาศาล
Telegram และแนวคิดการปกป้องเสรีภาพส่วนบุคคลในการสื่อสาร อาจเป็น “มรดกที่แท้จริง” ที่เขาทิ้งไว้ให้มนุษยชาติ
และในวันที่เขาไม่อยู่ ลูกๆ ทั้ง 100 คนของเขาอาจไม่ได้รับแค่มรดก แต่ได้รับภาระอันยิ่งใหญ่ในการรักษาแนวคิดนั้นให้ดำรงอยู่ต่อไป
พาเวล ดูรอฟไม่ใช่เพียงนักธุรกิจไอที แต่คือหนึ่งในสัญลักษณ์ของเสรีภาพในโลกยุคดิจิทัล การที่เขาเขียนพินัยกรรมมอบมรดกให้กับลูกๆ กว่า 100 คน สะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดที่ลึกซึ้ง ซับซ้อน และขัดแย้งอย่างน่าสนใจ
ไม่ว่าจะเป็นการให้คุณค่ากับความเท่าเทียม การปกป้องความเป็นส่วนตัว หรือการตั้งคำถามต่อขีดจำกัดของรัฐและอำนาจแบบดั้งเดิม พาเวล ดูรอฟ คือภาพสะท้อนของคนยุคใหม่ที่กล้าเปลี่ยนโลก – แม้จะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงที่สุดก็ตาม








